แม้ว่าประธานาธิบดีไบเดนจะยืนยันมาตลอดว่า ไม่มีนโยบายที่จะทำสงครามการค้ากับจีน แต่เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2567 ทำเนียบขาวประกาศความตั้งใจที่จะจัดทำมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนให้สูงมากยิ่งขึ้น สำหรับสินค้าที่สหรัฐฯระบุว่ามีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ เช่น เหล็ก (steel) และอลูมิเนียม สารกึ่งตัวนำ (semiconductors) รถยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ แร่ธาตุสำคัญ โซลาเซล เครน (ship-to-shore cranes) และผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ มาตรการนี้จะส่งผลกระทบต่อสินค้านำเข้าจีนมูลค่าประมาณ 18 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

 

ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ Katherine Tai ออกมาให้ความเห็นสนับสนุนการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนในครั้งนี้ว่าเป็นเรื่องยุติธรรมแล้ว เพราะจีนกำลังขโมยทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐฯ แต่ระบุว่า สินค้าเครื่องจักรอุตสาหกรรม (industrial machinery) หลายร้อยรายการที่สหรัฐฯนำเข้าจากจีน รวมถึง เครื่องมือในการผลิตโซล่าประมาณ 19 รายการควรจะได้รับการยกเว้นจากการขึ้นภาษีนำเข้าในครั้งนี้

 

ความตั้งใจของฝ่ายบริหารประธานาธิบดีไบเดน คือ
1. ให้คงอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจีนที่ฝ่ายบริหารประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศไว้ หลังจากที่ไม่ยืนยันตอบรับแน่ชัดมาเป็นเวลานานว่าจะคงนโยบายเดิมของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์หรือไม่

 

2. ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนบางรายการให้สูงมากยิ่งขึ้น เช่น ขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าไปอีกสี่เท่าตัว เป็นร้อยละ 102.5 ขึ้นภาษีสารกึ่งตัวนำ (semiconductors) ไปอีกสองเท่าตัว เป็นร้อยละ 50 ขึ้นภาษี photovoltaic cells จากร้อยละ 25 เป็นร้อยละ 50 เป็นต้น

3. สินค้าหลายตัวเป็นสินค้าหลักที่ฝ่ายบริหารประธานาธิบดีไบเดนต้องการย้ายฐานการผลิตกลับสหรัฐฯเพื่อเพิ่มความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน

ที่มา:
Reuters: “Biden sharply hikes US tariffs on an array of Chinese Imports”, by Trevor Hunnicutt และ Steve Holland, May 14, 2024
Center for Strategic & International Studied: “Experts React: Entergy and Trade Implication of Tariffs on Chinese Imports”, May 14,2024

 

ข้อมูลเพิ่มเติม ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ สคต ลอสแอนเจลิส
ในปี 2023 สหรัฐฯนำเข้าสินค้าจีนมูลค่า 427 พันล้านเหรียญฯและส่งออกสินค้าไปยังจีนมูลค่า 148 พันล้านเหรียญฯ ช่องว่างที่เป็นการเสียดุลการค้าจีนสูงถึง 279 พันล้านเหรียญฯเป็นเรื่องที่มีความอ่อนไหวสูงทางการเมืองของสหรัฐฯ
มีความเชื่อว่า ลึกๆแล้วการจัดทำมาตรการนี้ของประธานาธิบดีไบเดนขึ้นมาในขณะนี้ อาจจะเป็นกลยุทธ์หวังผลทางการเมืองในการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งใหม่ที่กำหนดในเดือนพฤศจิกายน ศกนี้ เนื่องจากมีการสำรวจพบว่า แม้ว่าปัจจุบันอัตราว่างงานของสหรัฐฯจะอยู่ในระดับต่ำเป็นประวัติการณ์และเศรษฐกิจยังคงเติบโตต่อเนื่องเป็นที่น่าพอใจ แต่ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯจำนวนมากขาดความเชื่อมั่นในนโยบายเศรษฐกิจของประธานาธิบดีไบเดน ทำให้เขาตกเป็นรองอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ซึ่งเป็นคู่แข่งขันในการเลือกตั้งครั้งนี้ ที่ได้คะแนนนิยมในเรื่องนี้สูงกว่า
การชี้แจงต่อรัฐสภาสหรัฐฯเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2024 ที่ฝ่ายบริหารประธานาธิบดีไบเดนยืนยันว่าไม่มีแผนการที่จะจัดทำการเจรจาการค้าเสรีกับประเทศใดๆ และการวางแผนจัดทำมาตรการคงภาษีนำเข้าสินค้าจีนที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศไว้และเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าบางรายการในครั้งนี้ของประธานาธิบดีไบเดน และการหาเสียงของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ที่เน้นนโยบายว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากทุกประเทศ โดยจะเริ่มต้นที่ประเทศจีนก่อนเป็นอันดับแรกนั้น แสดงให้เห็นว่า สหรัฐฯกำลังถอนตัวออกจากนโยบายการค้าเสรีระหว่างประเทศ หันไปเน้นการให้ความสำคัญต่อนโยบายย้ายฐานการผลิตกลับสหรัฐฯและการแสวงหาอุปทานจากแหล่งอุปทานประเทศเพื่อนบ้านและมิตรประเทศของสหรัฐฯของ

นอกเหนือจากสินค้าเหล็ก (steel) และอลูมิเนียมที่อัตราภาษีนำเข้าใหม่จากจีนจะมีผลบังคับใช้ในปี 2024 แล้ว โดยอัตราภาษีนำเข้าจากเดิมเฉลี่ยที่ร้อยละ 7.5 จะถูกเพิ่มขึ้นอีก 3 เท่าตัวเป็นอัตราเฉลี่ยประมาณร้อยละ 22.5  (ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการพิจารณาตัดสินครั้งสุดท้ายโดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯที่คาดว่าจะรู้ผลในวันที่ 30 มิถุนายน 2024) การขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนที่คาดว่าอาจจะมีผลบังคับใช้ในปีนี้ได้แก่ รถยนต์ไฟฟ้า โซลาเซล  เครื่องมือแพทย์ที่เป็น กระบอกฉีดยา (syringes) และ เข็มฉีดยา (needles) ในอีก 2 ปีข้างหน้าจะทะยอยขึ้นภาษีสินค้าจีนรายการอื่นที่เหลือต่อไป

เนื่องจากในปีนี้เป็นปีที่จะมีการเลือกประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่ ดังนั้นจึงมีความไม่แน่นอนสูงว่ามาตรการนี้จะดำเนินไปอย่างไรและจะส่งผลออกมาในรูปใด และหากอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง จะเกิดการเปลี่ยนแปลงมากน้อยเพียงใด อย่างไรดี ในภาพรวมแล้ว สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ จะหมายถึงภาคธุรกิจสหรัฐฯเริ่มมองหาแหล่งอุปทานอื่นแทนที่จีนและจีนอาจใช้วิธีการไปลงทุนทำการผลิตในประเทศเพื่อนบ้านเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกเก็บภาษีนำเข้าสหรัฐฯในระดับสูง ซึ่งในสถานการณ์ลักษณะนี้ ประเทศไทยมีศักยะภาพสูงที่อาจจจะได้รับประโยชน์และโอกาสทางการค้าเพิ่มมากขึ้น

thThai