เมื่อปลายปี 2566 โดยรัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่น มองว่าการขึ้นค่าจ้างจะเป็นทำให้ผ่านพ้นวิกฤตค่าครองชีพครัวเรือนในประเทศญี่ปุ่นที่สั่งสมมาตั้งแต่ก่อนสถานการณ์ COVID-19 ต่อมาในการประชุมที่จัดเมื่อต้นเดือนมีนาคม 2567 โดยสหพันธ์ธุรกิจแห่งญี่ปุ่นระหว่างผู้บริหารและสหภาพแรงงานที่จะเริ่มมีผลในต้นในฤดูใบไม้ผลิเดือนเมษายนปี 2567 มีมติจะเพิ่มค่าจ้างสำหรับบริษัทใหญ่หลายแห่งเสนอให้จ่ายเงินเต็มจำนวนตามที่สหภาพแรงงานร้องขอในการเจรจาค่าจ้างแรงงาน ทำให้บริษัทใหญ่ๆ หลายแห่งมีความเห็นครั้งสำคัญในการเพิ่มค่าจ้างให้กับพนักงานของตนและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) จะปฏิบัติตามจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ตอบสนองต่อข้อเรียกร้องของสหภาพแรงงานในการเจรจาค่าจ้างแรงงานช่วงฤดูใบไม้ผลิประจำ ปี 2567 โดยเสนอการปรับขึ้นค่าจ้างอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเกินกว่าการเพิ่มขึ้นที่ให้ไว้ในปีที่แล้ว
ญี่ปุ่นในเชิงลึก บริษัทใหญ่หลายแห่งในอุตสาหกรรมค้าปลีกและบริการอาหารก็ตกลงที่จะขึ้นค่าจ้างเช่นกัน ประเด็นสำคัญจะอยู่ที่ว่าจะนำไปสู่การขึ้นค่าจ้างจริงหรือไม่ ซึ่งที่ผ่านมาค่าจ้างไม่ได้เพิ่มเป็นเวลา 22 เดือนติดต่อกันเมื่อเทียบเป็นรายปี เนื่องจากการเติบโตของค่าจ้างไม่สามารถตามราคาที่สูงขึ้นได้ การบรรลุเป้าหมายดังกล่าวจะต้องอาศัยคลื่นค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นเพื่อเข้าถึงพนักงานนอกระบบและ SMEs ซึ่งการเจรจาเรื่องค่าจ้างกำลังจะมาถึงเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของปีงบประมาณ 2566 (มีนาคม) นายอากิฮิโระ คาเนโกะ ประธานสภาสหภาพแรงงานช่างโลหะแห่งประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นองค์กรที่เป็นตัวแทนของสหภาพแรงงานในอุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมหนักอื่นๆ ตอบสนองเชิงบวกต่อความต้องการเพิ่มระดับขึ้นค่าจ้าง รวมถึงโบนัสประจำปี ตัวอย่างเช่น Nippon Steel Corp. เสนอการปรับเพิ่มค้าจ่างเป็น 35,000 เยนต่อเดือนหรือมากกว่า 5,000 เยนจากที่สหภาพแรงงานร้องขอ หรืออยู่ที่ประมาณ 10% ของค่าจ้างพื้นฐาน ซึ่งเป็นคำของที่มากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2518 รวมถึงบริษัทเครื่องจักรอย่าง Mitsubishi Heavy Industries เชื่อกันว่า ได้ตัดสินใจว่าการเพิ่มขึ้นมีความจำเป็นเพื่อสะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของบริษัท และการรักษาทรัพยากรมนุษย์ที่เป็นเลิสสำหรับการพัฒนาเทคโนโลยีการลดคาร์บอนและโครงการอื่นๆ ตามมาด้วยยักษ์ใหญ่ 3 ราย ในวงการอุตสาหกรรมรถยนต์ เช่น โตโยต้า นิสสัน ซูซูกิ มอเตอร์ ต่างก็ได้ขานรับข้อเสนอของสหภาพแรงงานอย่างเต็มที่ โดยเสนอโบนัสประจำปีที่สูงขึ้นและเงินเดือนที่เพิ่มขึ้น และอยู่ช่วง 5.8% ถึง 10% โดยพนักงานโตโยต้า จะได้รับเงินโบนัสประจำปีสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ถึง 7.6 เท่าของเงินเดือน ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดข้อมูลเปรียบเทียบในปี 2542 เสียงเรียกร้องจากสหภาพแรงงานภายใต้ Japanese Electronical Electronic & Information Union ก็มีบทบาททางสังคมของแรงงานและการจัดการเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจญี่ปุ่น ได้ขอปรับขึ้นเงินเดือนด้วย เช่น Hitachi, Mitsubishi Electric, Fujitsu, NEC, Panasonic และบริษัทอื่นๆ ด้วยเช่นกัน นับตั้งแต่เริ่มต้นการเจรจาชุนโตในปีนี้ ผู้บริหารบริษัทต่างๆ ได้ใช้ขั้นตอนที่ผิดปกติในการตกลงที่จะขอขึ้นค่าจ้างที่สูงกว่าที่เสนอไว้ใน พ.ศ. 2566 ซึ่งในปี 2536 อัตราการเพิ่มค่าจ้างโดยเฉลี่ยในการเจรจาอยู่ที่ 3.58% ซึ่งเป็นระดับสูงสุด บริษัทหลายแห่งในอุตสาหกรรมค้าปลีกและบริการอาหาร ก็ตกลงตอบรับการขึ้นค่าจ้างในระดับสูงด้วย เช่น AEON Retail, Zencho Holding เสนอขึ้นค่าจ้างรายเดือน 19,751 เยน และ 47,278 เยน ตามลำดับ ซึ่งเกินคำขอของสหภาพแรงงาน
เปลี่ยนเป็นเชิงบวกในฤดูใบไม้ร่วง? จุดสนใจหลักคือค่าจ้างที่แท้จริงของญี่ปุ่นจะพลิกสถิติการขาดทุนและกลับมาเป็นบวกได้หรือไม่ ค่าจ้างที่แท้จริงแสดงกำลังซื้อของครัวเรือนโดยสะท้อนถึงความผันผวนของราคาต่อรายได้เงินสดทั้งหมด หรือค่าจ้างที่ระบุ ซึ่งบ่งชี้ถึงค่าจ้างเฉลี่ยต่อคนงาน การบริโภคส่วนบุคคลปรับลดลงในตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศฉบับปรับปรุงสำหรับเดือนตุลาคม – ธันวาคม เนื่องจากราคาที่สูงขึ้นทำให้เกิดเงาในการใช้จ่าย ซึ่งรายได้ที่ใช้แล้วทิ้งจะเพิ่มขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของค่าจ้างและการลดภาษี fixed amount ในฤดูร้อนนี้ เจ้าหน้าที่อาวุโสของ Keidanren (สหพันธ์ธุรกิจแห่งประเทศญี่ปุ่น) ซึ่งได้เห็นด้วยกับการขึ้นค่าจ้างมานานแล้ว “หากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวลดลง ผมคิดว่าค่าจ้างที่แท้จริงอาจกลับมาเป็นบวกได้ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง
ผลกระทบต่อต้นทุน การขึ้นค่าจ้างของกลุ่มบริษัทเอสเอ็มอีซึ่งมีการจ้างงานประมาณ 70% ของพนักงาน มีความน่าจะเป็นสำหรับค่าจ้างจริง แต่พบปัญหาว่าสภาหอการค้าและอุตสาหกรรมญี่ปุ่นประมาณ 20% ของ SMEs ไม่สามารถเจรจากับบรรดาลูกค้าที่เป็นต้นทุนได้ เช่นการลดราคาต้นทุนลง เช่น บริษัทที่แปรรูปพลาสติกถือเป็นธุรกิจขนาดเล็กแห่งหนึ่งเผชิญกับสถานการณ์เรื่องค่าจ้าง ต้นทุนและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ก็ได้รับผลกระทบ ด้วยเช่นกัน การปรับปรุงสภาพแรงงานของแรงงานนอกระบบซึ่งคิดเป็นประมาณ 40% ของกำลังแรงงาน จะเป็นปัจจัยสำคัญในการปรับค่าจ้างที่แท้จริงด้วย ด้านสมาคมโลหะเครื่องจักร และ Manufacturing Workers ซึ่งเป็นองค์กรที่ส่วนใหญ่ประกอบด้วยสหภาพแรงงาน เครื่องจักรของญี่ปุ่นและ SMEs ที่เกี่ยวข้องกับโลหะ มีความเห็นพ้องกับการเพิ่มขึ้นของค่าจ้างที่ตัดสินใจโดยบริษัทใหญ่ ๆ
บทวิเคราะห์ (ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย)
การขอเพิ่มค่าจ้างแรงงานของสหภาพแรงงานของญี่ปุ่น เป็นตัวชี้ที่บ่งบอกว่าเศรษฐประเทศญี่ปุ่นเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัว โดยดัชนีหุ้น Nikkei ในตลาดหลักทรัพย์โตเกียวแตะระดับสูงสุดในรอบประมาณ 34 ปี ขณะเดียวกันค่าจ้างที่จะกำหนดที่แท้จริง ซึ่งยังไม่รวมผลกระทบของราคา ถือเป็นการลดลงอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 22 เมื่อเทียบเป็นรายปี เนื่องจากการเจริญเติบโตของค่าจ้างไม่สามารถตามราคาค่าครองชีพที่สูงขึ้นได้ ผู้บริโภคจึงมีความประหยัดมากขึ้น แต่ผลพวงของการขึ้นค่าจ้างของบริษัทใหญ่ๆ จะกระจายไปยังธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางอีกด้วย
ข้อคิดเห็น/เสนอแนะของ สคต.
จากการที่มีการปรับเพิ่มขึ้นของค่าจ้างของแรงงานในประเทศญี่ปุ่น จะส่งผลให้เศรษฐกิจภาพรวมในประเทศญี่ปุ่นมีการหมุนเวียนอย่างคล่องตัวมากขึ้น การจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวันโดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้น แนวโน้มราคาขอสินค้าและบริการต่างๆ สูงขึ้น คาดว่าจะสูงขึ้นตามไปด้วยจะส่งผลให้การนำเข้าสินค้าต่างๆ จากไทยจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สคต. กรุงโตเกียว จะเฝ้าติดตามสถานการณ์การนำเข้าสินค้าต่างๆ และหาช่องทางส่งเสริมสินค้าไทยให้เหมาะกับพฤติกรรมผู้บริโภคแต่ละท้องถิ่นต่อไป
ข่าวเด่นประจำสัปดาห์ฉบับที่ 23 วันที่ 2 – 8 มีนาคม 2567 จากกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
อ้างอิงจาก
หนังสือพิมพ์ Nikkei MJ
ฉบับวันที่ 14 มีนาคม 2567
หนังสือพิมพ์ Japannews. Yomiuri
ฉบับวันที่ 14 มีนาคม 2567