ค่าขนส่งทางเรือในแอฟริกาตะวันออกเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 500% ส่งผลให้การส่งมอบสินค้าล่าช้า

การขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์อย่างรุนแรงในจีนและทั่วโลก ส่งผลให้ค่าขนส่งทางทะเลทั่วโลกพุ่งสูงขึ้น โดยเป็นผลกระทบโดยตรงจากการที่เรือมีความจำเป็นต้องใช้เส้นทางที่ยาวกว่ารอบๆ แหลมกู๊ดโฮป แทนที่จะเป็นคลองสุเอซ หลังจากเหตุการณ์ที่กบฎฮูตี ได้ขัดขวางการขนส่งทางทะเล และปัญหาสงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่ม Hamas ในตะวันออกกลาง

 

ผู้นำเข้า-ส่งออกและผู้ประกอบการขนส่งในเคนยา ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมการขนส่งทางทะเลที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยจ่ายเงินให้กับสายการเดินเรือ 1,113,500 KES (8,500 USD) ต่อตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 40 ฟุตจากจีนไปยังเคนยา จาก 222,700 KES (1,700 USD) ต่อตู้ ในเดือนเมษายน 2567 เพิ่มขึ้นกว่า 500 %

 

Jason Nyanjui นักธุรกิจชาวเคนยากล่าวว่า “เราต้องจัดส่งรถยนต์จากฮ่องกงและต้องเสียเงินจำนวน 1,179,000 Ksh (9,000 USD) จากใบเรียกเก็บเงินก่อนหน้านี้ 458,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ (3,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ) สำหรับตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 40 ฟุต”

 

CMA CGM หนึ่งในสายการเดินเรือที่ใหญ่ที่สุดระดับโลก ได้ประกาศอัตราค่าบริการสำหรับเอเชีย-ยุโรปเหนือจากเดิม 786,000 KES (6,000 USD) ต่อตู้คอนเทนเนอร์ 40 ฟุต ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา

 

Agayo Ogambi รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหารของสภาผู้ส่งสินค้าแห่งแอฟริกาตะวันออก เตือนถึงการหยุดชะงักในการจัดหาสินค้าอย่างร้ายแรง: “บริษัทขนส่งทางทะเลข้ามท่าเรือหรือลดเวลาที่ท่าเรือ และไม่หยิบตู้คอนเทนเนอร์เปล่า เพื่อพยายามให้เรืออยู่ในเส้นทางการจัดส่ง” สิ่งนี้ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของเคนยา โดยมีชาและกาแฟกองพะเนินอยู่ที่โกดัง ผู้ส่งออกในท่าเรือมอมบาซากล่าวว่า ประมาณหนึ่งในสี่ของสินค้าดังกล่าว ถูกระงับเนื่องจากตารางการจัดส่งล่าช้าเป็นเวลา 2-3 สัปดาห์ และต้องใช้การเดินเรือในเส้นทางที่ยาวกว่า

 

“เวลาตอบสนองของเรือยังคงเป็นความท้าทาย เนื่องจากตัวแทนขนส่งบางรายที่มีสัญญากับผู้ส่งออกชาได้เลื่อนการรับของที่ท่าเรือมอมบาซาหรือระงับการเดินทาง สิ่งนี้ทำให้ปริมาณสินค้าที่ส่งออกไปยังรัสเซียและประเทศเพื่อนบ้าน เช่น คาซัคสถาน คีร์กีซสถาน อุซเบกิสถาน และอาเซอร์ไบจานลดลงอย่างมาก” จอร์จ โอมูกา กรรมการผู้จัดการสมาคมการค้าแอฟริกาตะวันออกกล่าว

 

ค่าขนส่งทางทะเลเพิ่มขึ้นจาก 349,018 KES (2,442 USD) เพื่อจัดส่งตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 40 ฟุตไปยังรัสเซีย ซึ่งเป็นตลาดเครื่องดื่มที่ใหญ่เป็นอันดับห้าของเคนยา ในเดือนตุลาคม 2566 เป็น 930,857 KES (6,513 USD) ในปัจจุบัน

 

ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2566 ปีที่แล้ว นักรบฮูตีได้ขัดขวางห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก ในเดือนธันวาคม 2566 พวกเขาเริ่มยิงใส่เรือที่มุ่งหน้าไปยังอิสราเอล โดยประเทศเยเมนควบคุมเส้นทางการเดินเรือบริเวณ ช่องแคบบับ อัล-มันดับ ซึ่งทำหน้าที่เป็นประตูสู่ทะเลแดงและนำไปสู่คลองสุเอซ โดยประมาณ 12 % ของการค้าโลก และ 20 % ของการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ทั่วโลก ผ่านทางคลองสุเอซ เนื่องจากบริษัทขนส่งรายใหญ่หลายแห่งได้ระงับการเดินทางผ่านคลองดังกล่าว โดยเปลี่ยนเส้นทางเรือจากเอเชียไปยังยุโรปรอบๆ แหลมกู๊ดโฮป ซึ่งจะทำให้การเดินทางใช้เวลาประมาณ 10 วันเพิ่มขึ้น เส้นทางที่ยาวกว่านี้ หมายถึงต้นทุนที่สูงขึ้นสำหรับสายการเดินเรือ ผลกระทบทางอ้อมทั่วแอฟริกาทำให้ต้นทุนเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น 40 % ตามข้อมูลของ Maersk Shipping Line การโจมตียังขยายออกไปในทะเลอีกด้วย ส่งผลให้เรือต่างๆ ต้องขยายเส้นทางให้ยาวขึ้น บริษัทขนส่ง Hapag-Lloyd ของเยอรมนีกำลังหลีกเลี่ยงอ่าวเอเดนโดยสิ้นเชิง ในขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการชาวฝรั่งเศส CMA CGM ยังคงแล่นผ่านทะเลแดงและคลองสุเอซ โดยมีกองทัพเรือฝรั่งเศสคุ้มกัน อย่างไรก็ตาม กองเรือส่วนใหญ่ได้เปลี่ยนเส้นทางไปยังแอฟริกาแล้ว  ทั้งนี้ อ้างถึงข้อมูลจากการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (อังค์ถัด) การจราจรผ่านคลองสุเอซลดลง 80% เมื่อเทียบเป็นรายปี เนื่องจากวิกฤตทะเลแดง

 

ความเห็นของ สคต.

 

จากสถานการณ์ค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้นและความล่าช้าของการขนส่งสินค้าที่ใช้เวลานานมากกว่าปกติในข้างต้น ทำให้สถานการณ์นำเข้าทั่วโลกมีการชะลอตัวและไม่เป็นปกติตามที่ควร ส่งผลให้การส่งออกสินค้าจากไทยมาแอฟริกาในปี 2567 นี้ มีสภาวะชะลอตัวกว่า 30% ซึ่งประเทศในแอฟริกาส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบโดยตรงที่ต้นทุนการนำเข้าสินค้าสูงขึ้นและความล่าช้าในการนำเข้าวัตถุดิบต่างๆ ก็ไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ในต้นปี ประกอบกับการส่งออกสินค้าหลายชนิดที่มีเรื่องเวลาเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น กา แฟ      อโวคาโด ของเคนยา ที่เป็นไปโดยล่าช้า หรือต้องมีการยกเลิกคำสั่งชื้อไปเนื่องจากไม่สามารถส่งมอบสินค้าได้ตามสัญญาที่ตกลงกันไว้ได้ ปัจจัยเหล่านี้ต่างส่งกระทบในเชิงลบ ทำให้สถานการณ์ต่างๆ ไม่เอื้ออำนวยมากนักในการนำเข้าสินค้าจากไทยในปี 2567 นี้

 

สคต.ยังคงมองในเชิงบวกว่า ด้วยความขาดแคลนด้านอาหารของแอฟริกาที่ต้องการนำเข้า อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของเคนยาและแอฟริกาตะวันออกที่ยังขยายตัวในระดับดีคือร้อยละ 7-5 ในปี 2567 นี้ ยังเชื่อว่า การส่งออกของไทยมาแอฟริกาจะทรงตัว หรือชะลอตัวในระดับที่น้อยลงกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน โดยในเดือน ม.ค.- เม.ย. 2567 นั้น ไทยส่งออกมาเคนยา -43.99% จากช่วงเดียวกันของปี 2566 มูลค่าประมาณ 47.99 ล้าน USD สินค้าส่งออกสำคัญได้แก่ รถยนต์และส่วนประกอบ ผลิภัณฑ์ยาง เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีและอาหารสำเร็จรูปอื่น ๆ ข้าว เป็นต้น

 

ผู้ส่งออกที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติมด้านการค้าและการลงทุนต่าง ๆ เกี่ยวประเทศเคนยา และประเทศในแอฟริกาตะวันออก ท่านสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ E-mail: ของสำนักงานฯ ที่ info@ocanairobi.co.ke

 

ที่มา : The EastAfrican

thThai