ผลประกอบการตลาดไวน์โรเซ่และไวน์ขาวรวมกันในฝรั่งเศสในปีนี้ (ยกเว้นแชมเปญ) สูงกว่าผลประกอบการตลาดไวน์แดงเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องจากพฤติกรรมการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงระยะเวลา 15 ปีที่ผ่านมา ในปี 2010 ปริมาณการขายไวน์แดงในห้างค้าปลีกขนาดกลางและขนาดใหญ่มีสัดส่วนตลาดร้อยละ 57.3 (ร้อยละ 58.2 ของยอดขาย) เมื่อมาถึงปี 2024 ในเดือนเมษายนที่ผ่านมาปริมาณการขายไวน์โรเซ่และไวน์ขาวรวมกัน (สัดส่วนตลาดร้อยละ 58 เทียบเท่ากับร้อยละ 53 ของยอดขาย) กลับสูงแซงหน้าไวน์แดง
องค์กรผู้ประกอบการไร่องุ่นและผู้ผลิตไวน์นานาชาติ (International Organisation of Vine and Wine) กล่าวว่าแนวโน้มการบริโภคนี้เปลี่ยนไปในทิศทางเดียวกันเกือบทั่วโลก เห็นได้จากผลประกอบการตลาดไวน์โรเซ่และไวน์ขาวรวมกันทั่วโลกมียอดขายแซงหน้าตลาดไวน์แดงตั้งแต่ในเดือนธันวาคมปี 2023 เป็นต้นมา โดยเฉพาะตลาดสหรัฐอเมริกาที่มีความต้องการเพิ่มสูงขึ้นส่งผลให้ตลาดไวน์ขาวขยายตัวสูงถึงร้อยละ 65 ในช่วงระยะเวลา 20 ปี อย่างไรก็ตามตลาดผู้บริโภคไวน์ขาวอันดับสองของโลกซึ่งได้แก่ อิตาลี ยังคงรักษาระดับความนิยมไวน์ขาวได้เท่าเดิมซึ่งมาจากการบริโภคไวน์ prosecco ที่มีชื่อเสียงและผลิตในประเทศอิตาลี
บริษัทการตลาด Circana เปิดเผยข้อมูลตัวเลขการบริโภคไวน์ในฝรั่งเศสแสดงให้เห็นว่า ในเดือนเมษายนปริมาณการขายตลาดไวน์แดงในประเทศลดลงร้อยละ 6.5 ภายในช่วงระยะเวลาหนึ่งปีส่งผลให้ผลประกอบการไวน์แดงลดลงร้อยละ 2.3 ความต้องการตลาดไวน์โรเซ่ปรับลดลงร้อยละ 3.2 แต่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อยอดขายมากนัก (ลดลงร้อยละ 0.7) ในทางตรงกันข้ามตลาดไวน์ขาวมีปริมาณการขายปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.6 ตามความต้องการของตลาดถึงแม้ว่าราคาเฉลี่ยของไวน์ขาวจะสูงกว่าไวน์แดงก็ตาม โดยราคาไวน์เฉลี่ยอยู่ที่ 5.7 ยูโรต่อลิตร, ไวน์ขาว 6.29 ยูโร, ไวน์แดง 5.91 ยูโรและไวน์โรเซ่ 4.47 ยูโร
สำนักงานผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและการประมงแห่งชาติ – FranceAgriMer และคณะกรรมการผู้ประกอบการไวน์จดทะเบียน – CNIV กล่าวว่าพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่เปลี่ยนแปลงไปทั้งที่บ้านและร้านอาหารส่งผลให้ผู้บริโภคฝรั่งเศสนิยมบริโภคไวน์ขาวมากขึ้น ซึ่งได้แก่ มื้ออาหารแบบ cocktail diner ที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นโดยไวน์ขาวได้รับเลือกให้เข้ากับมื้ออาหารได้ง่ายกว่าไวน์แดง, ผู้บริโภคในร้านอาหารนิยมสั่งไวน์เป็นแก้วมากกว่าการสั่งเป็นขวด, เมนูอาหารปลา, อาหารทะเลและสลัดได้รับความนิยมมากขึ้นเหมาะที่จะดื่มร่วมกับไวน์ขาว ซึ่งในขณะเดียวกันการบริโภคเนื้อแดงซึ่งนิยมรับประทานคู่กับไวน์แดงลดลง และตลาดผู้บริโภคผู้หญิงซึ่งมีการขยายตัวนิยมไวน์ขาวมากกว่าไวน์แดง
ไวน์ขาวที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับหนึ่งได้แก่ ไวน์ Chardonnay ซึ่งมาจากแหล่งผลิตในแคว้น Bourgogne ทางฝั่งตะวันออกของฝรั่งเศสได้รับความนิยมเป็นอย่างมากโดยเฉพาะกับตลาดผู้บริโภคผู้หญิง ในขณะที่ไวน์ขาว Sauvignon จากแคว้นเดียวกันได้รับความนิยมในหมู่ผู้บริโภครุ่นใหม่ (18-25 ปี) ซึ่งแคว้น Bourgogne ผลิตไวน์ขาวคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 59 จากปริมาณการผลิตไวน์ทั้งหมดของแค้วน
อย่างไรก็ตามข้อมูลจาก FranceAgriMer กล่าวว่าในช่วงระหว่างปี 1960 – 2022 ปริมาณการบริโภคแอลกอฮอล์ในฝรั่งเศสลดลงกว่าร้อยละ 70 จากปริมาณ 100 ลิตรต่อผู้บริโภคเป็น 40 ลิตร ซึ่งเกิดจากการเติบโตของประชากรรุ่นใหม่ที่มีพฤตกรรมการบริโภคแตกต่างจากคนรุ่นก่อนหน้า ไวน์ซึ่งเคยเป็นเครื่องดื่มควบคู่กับทุกมื้ออาหารกลายเป็นเครื่องดื่มเฉพาะบางโอกาสเท่านั้น
ความคิดเห็น สคต.
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในฝรั่งเศส ได้แก่ ไวน์ (ร้อยละ 60) รองลงมาได้แก่ เบียร์ (ร้อยละ 58) โดยไวน์แดงยังคงได้รับความนิยมมากที่สุด รองลงมาได้แก่ ไวน์โรเซ่ และไวน์ขาว ตามลำดับ
ไวน์เป็นผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากของฝรั่งเศส ถึงแม้ว่าพื้นที่เพาะปลูกไวน์ในประเทศจะมีเพียงร้อยละ 3 ของพื้นที่ทางการเกษตรทั้งหมดแต่มูลค่าในตลาดสินค้าเกษตรกลับเป็นสินค้าที่สร้างมูลค่าอันดับหนึ่ง โดยเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ซึ่งรวมถึงไวน์จัดเป็นสินค้าส่งออกสำคัญอันดับที่สามของฝรั่งเศส (การส่งออกเครื่องดื่มที่มีแอลกฮอล์ทุกประเภทรวมกันปี 2023 คิดเป็นมูลค่า 16,185 ล้านยูโร ซึ่งการส่งออกไวน์คิดเป็นมูลค่า 11,268 ล้านยูโร) รองจากเครื่องบินและผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเครื่องสำอาง
ถึงแม้ว่าพฤติกรรมการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศที่เปลี่ยนแปลงไปนี้อาจจะยังไม่ส่งผลเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน แต่แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคฝรั่งเศสรุ่นใหม่มีรูปแบบการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป ซึ่งจะหมายรวมถึงตลาดผลิตภัณฑ์สินค้าอื่นๆด้วยเช่นเดียวกัน ดังนั้นผู้ประกอบการไทยควรศึกษาข้อมูลความต้องการตลาดของสินค้าแต่ละชนิดอย่างละเอียดเพื่อสร้างสรรค์สินค้าให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งทางสคต.ปารีสจะติดตามการเปลี่ยนแปลงและนำเสนอข้อมูลด้านอื่นๆในคราวต่อไป
ที่มาของข่าว
Marie-Josée Cougard
ข่าวจากหนังสือพิมพ์ออนไลน์ Les Echos