รายงานอุตสาหกรรมก่อสร้างในตลาดออสเตรเลีย

รายงานอุตสาหกรรมก่อสร้างในตลาดออสเตรเลีย

  1. สถานการณ์ตลาดอุตสาหกรรมก่อสร้างในออสเตรเลีย
    • ภาพรวมของอุตสาหกรรมก่อสร้างในออสเตรเลีย

การเติบโตของภาคอุตสาหกรรมก่อสร้างออสเตรเลียในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ขยายตัวในอัตราชะลอตัวลงเฉลี่ยร้อยละ 2 ต่อปี ในปี 2566-2567 มีมูลค่า 472.3 พันล้านเหรียญสหรัฐหดตัวลงร้อยละ 5.1 การก่อสร้างส่วนใหญ่เป็นการก่อสร้างในโครงการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่ง สาธารณูปโภค และพลังงานหมุนเวียน รวมถึงการก่อสร้างคลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้า (Warehouses) ในอุตสาหกรรมค้าปลีก ชดเชยการก่อสร้างที่พักอาศัยที่เข้าสู่ภาวะถดถอยเป็นครั้งแรกในช่วงวิกฤต COVID-19 ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้นักลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์จากต่างชาติชะลอการลงทุน เนื่องจากการระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ส่งผลต่อภาคการผลิตในระบบห่วงโซ่อุปทาน (เช่น วัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างและแรงงาน) กระทบต่อภาคอุตสาหกรรมก่อสร้างอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้โครงการก่อสร้างหลายโครงการต้องหยุดชะงัก บริษัทก่อสร้างและผู้รับเหมาหลายรายต้องปิดกิจการลง (คิดเป็นร้อยละ 31 หรือประมาณ 2,349 รายในปี 2567) โดยเฉพาะการก่อสร้างที่พักอาศัยใหม่เนื่องจากในช่วงปี 2566-2567 ธนาคารออสเตรเลียปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวม 13 ครั้ง (จากอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำสุดที่ร้อยละ 0.1 อยู่ที่ร้อยละ 4.35) เพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อที่สูงถึงร้อยล 7.1 ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อซื้อบ้านเพิ่มสูงขึ้นนักลงทุนจึงชะลอการซื้อบ้านลง

ในช่วงปี 2567 อุตสาหกรรมก่อสร้างออสเตรเลียเริ่มมีสัญญาณบวก เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ธนาคารกลางออสเตรเลียชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยลงและตลาดอสังหาริมทรัพย์เริ่มมีแรงซื้ออีกครั้ง จากการกลับมาของนักลงทุน และพลเมืองที่เดินทางกลับประเทศ ประกอบกับโครงการก่อสร้างเพื่อการฟื้นฟูระบบคมนาคมระยะยาวของภาครัฐ เช่น โครงการสร้างถนน North East Link ในรัฐ Victoria (VIC) และ อุโมงในนครซิดนีย์ (Western Harbour Tunnel & Beaches Link)  โครงการสร้างทางด่วน (WestConnex) การก่อสร้างทางรถไฟ (โครงการ Sydney Metro City & Southwest โครงการ Melbourne’s Metro Tunnel โครงการ Cross River Rails ใน Brisbane การก่อสร้างในระบบการผลิตพลังงานทดแทน Ararat Wind Farm ในรัฐ VIC และ Limondale Solar Farm ในรัฐ New South Wales (NSW) และการขยายเครือข่ายโทรคมนาคม (NBN) รวมถึง การก่อสร้างในโครงการใหม่ๆ เช่น  เหมืองถ่านหิน Adani ในรัฐ Queensland (QLD) เหมือง BHP iron ore ในรัฐ Western Australia (WA) ที่ยังดำเนินการต่อไป

สำนักงานสถิติแห่งชาติออสเตรเลีย ระบุว่า ในช่วงไตรมาสเดือนมีนาคม 2567 (ปรับผลของฤดูกาล) การก่อสร้างที่เสร็จสิ้นแล้วมีมูลค่ารวม 64,032.5 ล้านเหรียญออสเตรเลีย ลดลงร้อยละ 2.9 (เมื่อเทียบกับไตรมาสเดือนธันวาคม 2566) เป็นการลดลงของการก่อสร้างทุกภาคอุตสาหกรรม โดยการก่อสร้างอาคารที่ไม่ใช่อาคารที่พักอาศัย (Non-residential building) ลดลงมากที่สุดร้อยละ 7 (มูลค่า 13,733.7 ล้านเหรียญออสเตรเลีย) รองลงมาคือการก่อสร้างอาคาร ลดลงร้อยละ 3.7 (มูลค่า 33,315.1 ล้านเหรียญออสเตรเลีย) การก่อสร้างด้านวิศวกรรม (Engineering) ลดลงร้อยละ 2.1 (มูลค่า 30,717.4 ล้านเหรียญออสเตรเลีย) ในขณะที่การก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยลดลงน้อยที่สุดร้อยละ 1.2 (มูลค่า 19,581.4 ล้านเหรียญออสเตรเลีย)

รัฐ NSW เป็นรัฐที่มีมูลค่าการก่อสร้างสูงสุดที่ 18,977.9 ล้านเหรียญออสเตรเลีย (ลดลงร้อยละ 1.7) รองลงมาคือ รัฐ VIC มีมูลค่า 16,199 ล้านเหรียญออสเตรเลีย (ลดลงร้อยละ 2.5) รัฐ QLD มีมูลค่า 12,366.7 ล้านเหรียญออสเตรเลีย (ลดลงร้อยละ 1.6) รัฐ South Australia (SA) มีมูลค่า 3,789.5 ล้านเหรียญออสเตรเลีย (ลดลงร้อยละ 5) และรัฐ WA มีมูลค่า 9,967.8 ล้านเหรียญออสเตรเลีย (ลดลงร้อยละ 2.7)

เดือนเมษายน 2567 จำนวนที่พักอาศัยที่ได้รับการอนุมัติมีจำนวน 13,078 แห่งลดลงร้อยละ 0.3 เมื่อเทียบกับเดือนมีนาคม 2567 เป็นจำนวนที่พักอาศัยประเภทบ้านจำนวน 8,822 แห่งลดลงร้อยละ 1.6 ในขณะที่จำนวนที่พักอาศัยประเภทอื่นๆ (เช่นทาวน์เฮ้าส์และอพาร์ทเม้นท์) ได้รับอนุมัติ 3,981 แห่งลดลงร้อยละ 1.1 โดยการอนุมัติก่อสร้างที่พักอาศัยในรัฐ NSW ลดลงมากที่สุด รองลงมาคือ รัฐ VIC และรัฐ QLD อย่างไรก็ตาม จำนวนการอนุมัติก่อสร้างที่พักอาศัยในรัฐ WA เพิ่มขึ้น

  • อุตสาหกรรมก่อสร้างที่พักอาศัย

ในช่วงปี 2562-2567 อุตสาหกรรมก่อสร้างที่พักอาศัยหดตัวลงร้อยละ 2.3 ปี 2567 อุตสาหกรรมก่อสร้างที่พักอาศัยมีมูลค่าตลาด 65.8 พันล้านเหรียญสหรัฐหดตัวลงร้อยละ 7.7 เนื่องจากนโยบาย HomeBuilder ของรัฐบาลกลางได้สิ้นสุดลงและการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบายทำให้การลงทุนในอุตสาหกรรมก่อสร้างที่พักอาศัยใหม่ลดลง อีกทั้ง อุตสาหกรรมก่อสร้างที่พักอาศัยใหม่ในออสเตรเลียได้รับผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ส่งผลให้การส่งมอบงานล่าช้าเนื่องจากราคาสินค้าวัสดุก่อสร้างที่สูงขึ้น ราคาน้ำมัน ราคาเครื่องอุปกรณ์ในการก่อสร้างและปัญหาขาดแคลนแรงงานทักษะทำให้ผลกำไรในภาคธุรกิจลดลง ปี 2567 การก่อสร้างบ้านใหม่มีมูลค่า 38.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ (คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 58.2 ของอุตสาหกรรมก่อสร้างที่พักอาศัยทั้งหมด) การต่อเติม/ตกแต่งบ้านใหม่ (Renovation and Improvements) มีมูลค่า14 พันล้านเหรียญสหรัฐ (คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 21.3) การซ่อมแซมและบำรุงรักษาบ้านมีมูลค่า 10.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ (คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 16) และบริการก่อสร้างอื่นๆ มูลค่า 3 พันล้านเหรียญสหรัฐ (คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 4.5) คาดว่า ในช่วงปี 2567-2572 อุตสาหกรรมก่อสร้างที่พักอาศัยจะขยายตัวร้อยละ 1.6 มีมูลค่า 71.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ จากการเติบโตของจำนวนประชากรปี 2566 ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 (การเดินทางเข้าประเทศของแรงงานและนักเรียน/นักศึกษา) และคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 1.4 ต่อปี และมาตรการกระตุ้นการก่อสร้างที่พักอาศัยของรัฐบาลกลางเพื่อลดปัญหาที่พักอาศัยไม่เพียงพอซึ่งเป็นสาเหตุของราคาค่าเช่าสูงเกินกำลัง นำไปสู่การเพิ่มขึ้นของพลเมืองไร้บ้าน

  • ตลาดค้าปลีกฮาร์ดแวร์และวัสดุก่อสร้าง

ตลาดค้าปลีกฮาร์ดแวร์และวัสดุก่อสร้าง มีผู้เล่นรายใหญ่ในตลาด คือ Wesfarmers (Bunnings) Metcash และ Bowen Timber & Hardware ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมฮาร์ดแวร์และวัสดุก่อสร้างเผชิญกับภาวะยากลำบาก ทำให้การเติบโตของธุรกิจค้าปลีกฮาร์ดแวร์และวัสดุก่อสร้างหดตัวลงเฉลี่ยร้อยละ 0.1 ต่อปี จากการชะลอตัวของอุตสาหกรรมก่อสร้างที่พักอาศัย ความผันผวนของความเชื่อมั่นผู้บริโภค ที่ส่งผลต่อกิจกรรมการก่อสร้าง และความต้องการซ่อมแซม/ปรับปรุง (DIY) ซึ่งเป็นกลไกสำคัญต่อการขับเคลื่อนของภาคธุรกิจ ปี 2567 ตลาดฮาร์ดแวร์และวัสดุก่อสร้างมีมูลค่าตลาด 26.2 พันล้านเหรียญสหรัฐลดลงร้อยละ 6.4 เนื่องจากผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อที่กระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในประเทศ อีกทั้งตลาดมีการแข่งขันด้านราคาสูงทำให้ผลประกอบการของภาคธุรกิจลดลง โดยธุรกิจค้าปลีกฮาร์ดแวร์และวัสดุก่อสร้างร้อยละ 34.1 เป็นสินค้าประเภทเครื่องมือและอุปกรณ์ก่อสร้าง มีมูลค่าตลาด 8.9 พันล้านเหรียญสหรัฐสินค้าประเภทไม้ร้อยละ 26.2 มีมูลค่า 6.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ และสินค้าประเภท Building supplies ร้อยละ 16.2 มีมูลค่า 4.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าอุปกรณ์ตกแต่งสวนร้อยละ 9.2 มีมูลค่า 2.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ อุปกรณ์ทาสีร้อยละ 7.0 มีมูลค่า 1.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าประเภท Plumbing supplies ร้อยละ 3 มีมูลค่า 787.3 ล้านเหรียญสหรัฐและสินค้า Hardware อื่นๆร้อยละ 4.3 มีมูลค่า 1.1 พันล้านเหรียญ

  1. แนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมก่อสร้าง

การลงทุนจำนวนมากในระบบโครงสร้างพื้นฐาน พลังงานหมุนเวียน และนวัตกรรมทางเทคโนโลยี จะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นกิจกรรมการก่อสร้าง โดยเฉพาะการก่อสร้างในโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานหมุนเวียน คาดว่าจะมีการเติบโตอย่างมาก ในช่วงปี 2567 ตลาดก่อสร้างออสเตรเลียมีการเติบโตและมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เนื่องจากการก่อสร้างที่พักอาศัยใหม่ที่เริ่มฟื้นตัวภายใต้ National Housing Accord (ตั้งเป้าเพิ่มจำนวนที่พักอาศัยใหม่ให้ได้ 1 ล้านหลังเพื่อแก้ปัญหาที่พักอาศัยขาดแคลน) เน้นการก่อสร้างอาคารชุดและทาวเฮ้าส์ และโครงการก่อสร้างโดยการร่วมทุนกับภาคเอกชน (Public-Private Partnership: PPP)  ประกอบด้วย โครงการสร้างอุโมงและทางด่วนและการก่อสร้างอาคารพาณิชย์

IBISWorld คาดการณ์ว่า ในปี 2571-2572 มูลค่าตลาดของอุตสาหกรรมก่อสร้างโดยรวมในออสเตรเลียจะขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 2 ต่อปีมีมูลค่า 522.6 พันล้านเหรียญสหรัฐจากโครงการก่อสร้างด้านวิศวกรรม (อุตสาหกรรมเหมืองแร่และโครงการพลังงานหมุนเวียน) และวิศกรรมโยธา (โครงสร้างพื้นฐานเช่น การสร้างถนน รางรถไฟและท่าเรือ) คาดว่า การเติบโตของตลาดก่อสร้างบ้านที่พักอาศัยยังมีการขยายตัวในอัตราชะลอตัวลง แม้ว่าความต้องการที่พักอาศัยจะเพิ่มขึ้น แต่การกลับมาฟื้นตัวของบริษัทก่อสร้างและผู้รับเหมายังเป็นไปแบบค่อยเป็นค่อยไป อีกทั้ง ตลาดมีแนวโน้มปรับใช้เทคโนโลยีในการก่อสร้างเพื่อการลดต้นทุนและสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันมากขึ้น รวมถึงความต้องการผลิตภัณฑ์ ส่วนประกอบของอาคารสำเร็จรูป เครื่องมือไฟฟ้าที่ช่วยอำนวยความสะดวก ง่ายต่อการติดตั้ง ใช้แรงงานทักษะน้อยหรือทดแทนแรงงานในภาคอุตสาหกรรมเพิ่มมากขึ้น ในอีก 5 ปีข้างหน้า การจ้างงานในอุตสาหกรรมก่อสร้างออสเตรเลียจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 1.3 ต่อปี และจำนวนผู้ประกอบธุรกิจและผู้รับเหมาก่อสร้างจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4 มีจำนวน 410,000 ธุรกิจ

ในขณะที่ในอีก 5 ปีข้างหน้า การก่อสร้างอาคารที่ไม่ใช่อาคารที่พักอาศัย (Non-residential building) มีแนวโน้มขยายตัวเพียงเล็กน้อยที่ร้อยละ 0.4 เนื่องจากกระแสการซื้อสินค้าออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นและการทำงานแบบ Hybrid ทำให้ความต้องการเช่าสำนักงานและร้านค้าในภาคธุรกิจลดลง

สำหรับตลาดอุตสาหกรรมฮาร์ดแวร์และวัสดุก่อสร้าง มีแนวโน้มขยายตัวร้อยละ 2.3 ต่อปี มีมูลค่าตลาด 29.4 พันล้านเหรียญสหรัฐเนื่องจากราคาบ้านที่เพิ่มสูงขึ้นจนเกินกำลังซื้อ ทำให้ผู้ครอบครองที่พักอาศัยเลือกซ่อมแซม/ปรับปรุงบ้าน (DIY) หรือสร้างบ้าน Granny flat แบ่งให้เช่ามากขึ้น

  1. ภาวะการแข่งขันในอุตสาหกรรมก่อสร้าง

ภาพรวมอุตสาหกรรมก่อสร้าง

อุตสาหกรรมก่อสร้างในออสเตรเลียมีการแข่งขันค่อนข้างสูงเนื่องจากธุรกิจก่อสร้างร้อยละ 95.9 ในออสเตรเลียเป็นธุรกิจขนาดเล็ก (บริษัทรับเหมารายย่อย) ที่มีความเชี่ยวชาญและเน้นให้บริการเฉพาะด้าน รวมถึงการให้บริการในรูปแบบ Franchise operation ที่ให้บริการออกแบบ การตลาดและบริการจัดซื้อแบบครบวงจร อุตสาหกรรมก่อสร้างในออสเตรเลียจึงมีบริษัทรายใหญ่เพียง 4 ราย ได้แก่ บริษัท CIMIC Group บริษัท BBPHA 1 Pty Ltd (Multiplex) บริษัท LendLease Group Limited และบริษัท Metricon ซึ่งมีสัดส่วนตลาดรวมกันเพียงร้อยละ 4.1 บริษัทก่อสร้างต่างๆ (ทั้งรายใหญ่และรายย่อย) ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในรัฐ NSW รัฐ VIC รัฐ QLD และรัฐ WA โดยมากกว่าร้อยละ 60 อยู่ในรัฐ NSW และ รัฐ VIC

บริษัทก่อสร้างรายใหญ่ในตลาดอุตสาหกรรมก่อสร้าง

บริษัท CIMIC Group เป็นบริษัทก่อสร้างรายใหญ่ที่สุดในออสเตรเลีย ก่อตั้งในปี 2492 มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในนครซิดนีย์ มีสัดส่วนตลาดร้อยละ 1.5 ดำเนินธุรกิจครอบคลุมโครงการก่อสร้างใหญ่ๆทั้งในและต่างประเทศ เช่น โทรคมนาคม วิศวกรรมโยธา การก่อสร้างในระบบโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ (ถนน ทางด่วน ทางรถไฟ สนามบินและเครือข่าย NBN) การก่อสร้างอาคารพาณิชย์และที่พักอาศัย การก่อสร้างในธุรกิจเหมืองแร่และทรัพยากรธรรมชาติ เช่น โครงการ Australia Pacific LNG ในรัฐ  QLD และโครงการ  INPEX’s Ichthys LNG ในเขตปกครองพื้นที่ตอนเหนือ (Northern Territory) มีบริษัทในเครือได้แก่ Thiess, Ventia, UGL, Services, CPB Contractors, UGL Pty Limited. UGL Limited, Visionstream, Sedgman, Broadspectrum, Pacific Partnerships และ MACA ปี 2567 บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นมูลค่า 7.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ

บริษัท BBPHA 1 Pty Ltd (Multiplex) (บริษัทลูกของบริษัท Brookfield Asset Management Inc แคนาดา) ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น อาคารพาณิชย์ อาคารธุรกิจค้าปลีกและอพาร์ทเม้นท์สูงหลายโครงการ เช่น โครงการตึก 69 ชั้น Light House Melbourne ในนครเมลเบิร์น โครงการสร้างตึก 54 ชั้น (Quay Quarter Tower) นครซิดนีย์ และโครงการสร้างท่าเรือที่นครเมลเบิร์น มีสัดส่วนตลาดร้อยละ 1 ก่อตั้งในปี 2505  มีสำนักงานใหญ่ในนครซิดนีย์ ในปี 2567 บริษัทมีรายได้ลดลงมูลค่า 4.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ

บริษัท LENDLEASE GROUP LIMITED (ดำเนินธุรกิจในนามของบริษัท Lendlease) ก่อตั้งขึ้นในนครซิดนีย์ในปี 2501 บริษัทขยายกิจการก่อสร้างไปยังตลาดต่างประเทศทั่วโลก (เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ยุโรปและเอเชีย) และดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แต่รายได้ของภาคธุรกิจร้อยละ 60 มาจากอุตสาหกรรมก่อสร้างในปี 2567 บริษัทมีผลประกอบการรวม 4.4 พันล้านเหรียญสหรัฐมีสัดส่วนตลาดร้อยละ 0.9 บริษัท Lendlease เน้นการก่อสร้างในโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ที่สำคัญ เช่น Barangaroo South (หนึ่งในโครงการก่อสร้างใหญ่ที่สุดในเขต CBD นครซิดนีย์) โรงแรม Crown Sydney Hotel Resort สูง 75 ชั้นที่ Barangaroo และBankwest Stadium ในเขต Parramatta รวมถึงโครงการที่พักอาศัยใหญ่ๆ อาทิ Darling Square apartment รวมไปถึงการสร้าง Melbourne Quarter (พลาซ่า อาคารที่พักอาศัย สำนักงานและร้านค้าปลีก) และ Victoria Harbour คาดว่าจะสร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี 2567-2568 ปัจจุบันบริษัท Lendlease ร่วมลงทุนกับบริษัท CIMIC Group ในโครงการรับเหมางานก่อสร้างสนามบิน Western Sydney Airport

บริษัท METRICON GROUP PTY LTD ก่อตั้งขึ้นในปี 2519 ในนครเมลเบิร์นและเป็นหนึ่งในบริษัทก่อสร้างบ้านรายใหญ่ในออสเตรเลีย ปี 2567 บริษัทมีผลประกอบการรวม 3.2 พันล้านเหรียญสหรัฐมีสัดส่วนตลาดร้อยละ 0.7 โดยมีโครงการก่อสร้างส่วนใหญ่ในรัฐ VIC รัฐ QLD รัฐ NSW และรัฐ SA เน้นการก่อสร้างบ้านตั้งแต่โครงการสร้างบ้านสำหรับผู้ซื้อบ้านหลังแรกไปจนถึงโครงการบ้านระดับหรู ปัจจุบันบริษัท Metricon Group ได้รับการจัดอันดับเป็นที่ 1 จากการจัดอันดับ Top 100 Homebuilders ของ Housing Industry Association ต่อเนื่อง 7 ปีติดต่อกัน บริษัท Metricon ริเริ่มการใช้เทคโนโลยี The Metricon Virtual Reality Experience เพื่อแสดงให้เห็นภาพเสมือนจริงได้ผ่านเว็บไซต์ของบริษัท และส่งเสริมการสร้างที่พักอาศัยอย่างยั่งยืนโดยเสนอการติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์และแบตเตอรี่ให้กับบ้านใหม่ในรัฐ NSW และริเริ่มการสร้างบ้านปลอดคาร์บอน (ประกอบด้วยการติดตั้งระบบ Solar power ฉนวน Draught seal และ Double-glazed window) ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดและลดการปล่อยมลพิษ

ตลาดอุตสาหกรรมก่อสร้างที่พักอาศัย

ตลาดอุตสาหกรรมก่อสร้างที่พักอาศัยส่วนใหญ่เป็นผู้เล่นรายย่อยซึ่งเป็นบริษัทขนาดเล็กที่มีการจ้างงานไม่เกิน 20 คน และกลุ่มผู้รับเหมาอิสระ ผลกำไรของภาคธุรกิจค่อนข้างผันผวนตามกลไกตลาด ทำให้ในช่วงวิกฤต COVID-19 ภาคธุรกิจมีผลกำไรลดลงส่งผลให้บริษัทก่อสร้างที่พักอาศัยทั้งรายใหญ่และรายย่อยต้องปิดกิจการลงมากกว่า 100 บริษัท ทำให้ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมก่อสร้างที่พักอาศัยในออสเตรเลียค่อนข้างซบเซาลง

ตลาดก่อสร้างที่พักอาศัยมีผู้เล่นรายใหญ่เพียง 4 รายมีสัดส่วนตลาดรวมกันต่ำกว่าร้อยละ 10 ของมูลค่าตลาดโดยรวม ส่วนใหญ่เป็นการก่อสร้างในโครงการพัฒนาที่ดินและก่อสร้างที่พักอาศัยที่เน้นการยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ยั่งยืนท่ามกลางภาวะโลกร้อน

เนื่องจากตลาดก่อสร้างมีบริษัทรับเหมาก่อสร้างรายย่อยจำนวนมาก ทำให้ตลาดมีการแข่งขันสูง ทั้งการแข่งขันด้านนวัตกรรมสินค้าและบริการ ราคา การออกแบบ คุณภาพสินค้าและบริการ รวมถึงระยะเวลาในการส่งมอบโครงการ ซึ่งเป็นการแข่งขันทั้งจากผู้รับเหมารายย่อยและบริษัทก่อสร้างรายใหญ่ โดยบริษัทก่อสร้างหลายราย อาทิ บริษัท Hotondo และบริษัท MacDonald Jones Homes มีการพัฒนาและการปรับใช้เทคโนโลยี (Virtual online 3D) เพื่อการจัดแสดงบ้านตัวอย่าง นอกจากนี้ได้มีการใช้ระบบ Software packages ในการสร้างแบบจำลองข้อมูลอาคารในการจัดการขั้นตอนการทำงานและต้นทุนในโครงการก่อสร้าง ติดตามขั้นตอนและความคืบหน้าการก่อสร้างออนไลน์ รวมถึงการจัดซื้อและการออกใบแจ้งหนี้อัตโนมัติ เน้นบริการออกแบบที่พักอาศัยประหยัดพลังงานและการสร้างบ้านปลอดคาร์บอน ตลอดจนการสร้างบ้านที่แสดงอัตลักษณ์ที่โดดเด่นเฉพาะตัว เพื่อตอบสนองความต้องการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืนของผู้พักอาศัยในปัจจุบัน

บริษัทรับเหมาก่อสร้างที่พักอาศัยที่สำคัญ

บริษัท ABN Corporate Service Pty Ltd ก่อตั้งขึ้นในรัฐ WA ในปี 2521 ดำเนินธุรกิจก่อสร้างบ้านในโครงการทุกระดับตั้งแต่บ้านสำหรับ First homebuyers และบ้านหรูสำหรับครอบครัวใหญ่ ภายใต้บริษัทในเครือ เช่น apg Homes, Dale Alcock, Celebration Homes, Homes Homebuyers Centre และ Homes Boutique ให้บริการที่เกี่ยวข้อง เช่น บริการสินเชื่อ ก่อสร้างอาคาร ระบบประปา คอนกรีต ผนัง เพดาน หลังคา ออกแบบและติดตั้งครัว  ปี 2567 บริษัทมีผลประกอบการลดลงมีมูลค่า 1.4 พันล้านเหรียญสหรัฐมีสัดส่วนตลาดร้อยละ 2 มีการจ้างงานมากกว่า 1,400 คนและให้บริการโครงการก่อสร้างในรัฐ WA และรัฐ VIC

บริษัท METRICON Homes PTY LTD ก่อตั้งขึ้นในปี 2519 ในนครเมลเบิร์น เป็นหนึ่งในบริษัทก่อสร้างบ้านรายใหญ่ในออสเตรเลียที่มีการจ้างงานมากกว่า 1,000 ราย เน้นการก่อสร้างบ้านในโครงการบ้านทุกระดับในรัฐ VIC รัฐ NSW และรัฐ  QLD มีการปรับใช้เทคโนโลยีจัดแสดงบ้านตัวอย่างเสมือนจริงและโครงการบ้านปลอดคาร์บอนที่ช่วยให้มีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและลดการปล่อยมลพิษ

บริษัท NXT Building Group PTY LTD ก่อตั้งในปี  2530 ในเขต Newcastle นครซิดนีย์ ดำเนินธุรกิจก่อสร้างใหญ่เป็นอันดับ 2 ภายใต้บริษัท Wilson Homes, MOJO Homes, MacDonald Jones Homes, Hayman Homes, Weeks Building Group และ Brighton Homes บริษัทปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการเข้าถึงและนำเสนองานแก่ลูกค้าและรับงานก่อสร้างในรัฐ NSW รัฐ  QLD ACT และรัฐ SA `ปี 2567 บริษัทมีผลประกอบการลดลงมูลค่า 1.3 พันล้านเหรียญสหรัฐมีสัดส่วนตลาดร้อยละ 1.9

บริษัท BGC (Australia) Pty Ltd เป็นหนึ่งในธุรกิจก่อสร้างบ้านรายใหญ่ในรัฐ WA และเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ซีเมนต์และคอนกรีตสำหรับการก่อสร้างในโครงการขนาดใหญ่ ดำเนินธุรกิจก่อสร้างภายใต้บริษัท National Homes, GO Homes, Impressions, Stratawise, Statesman Homes, HomeStart และบริษัท Commodore Homes ในช่วงวิกฤต COVID-19 บริษัทมีผลกำไรลดลงทำให้เกือบต้องขายกิจการ ปี 2567 ผลประกอบการลดลงมูลค่า 790 ล้านเหรียญสหรัฐมีสัดส่วนตลาดร้อยละ 1.1

บริษัท Corporate IP Holdings PTY LTD ก่อตั้งขึ้นในปี 2526 รัฐ `QLD ดำเนินธุรกิจก่อสร้างภายใต้ G.J.Gardner Homes ในรูปแบบธุรกิจแฟรนไชส์มากกว่า 120 สาขาทั้งในตลาดออสเตรเลีย นิวซีแลนด์และสหรัฐอเมริกาปี 2567 มีผลประกอบการมูลค่า 790 ล้านเหรียญสหรัฐมีสัดส่วนตลาดร้อยละ 1.1

นอกจากนี้ ยังมีบริษัทรายย่อยอื่นๆ ที่สำคัญ เช่น บริษัท Simonds บริษัท Sumitomo Forestry Australia บริษัท Hotondo Building PTY LTD บริษัท Burbank Australia Pty Ltd และบริษัท Henley Arch PTY LTD เน้นการสร้างบ้านพร้อมที่ดินในราคาประหยัดเพื่อเจาะกลุ่มผู้ซื้อบ้านหลังแรกและการซื้อบ้านเพื่อการลงทุน

ตลาดอุตสาหกรรมฮาร์ดแวร์และวัสดุก่อสร้าง

ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ตลาดอุตสาหกรรมฮาร์ดแวร์และวัสดุก่อสร้างได้รับผลจากการก่อสร้างบ้านที่ลดลง ภาวะเงินเฟ้อและเศรษฐกิจขาดสภาพคล่อง ส่งผลต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภค รายได้ครัวเรือนที่จำกัด ค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้ความต้องการสินค้าอุปกรณ์ก่อสร้างเพื่อการต่อเติม ปรับปรุงหรือซ่อมแซมบ้านลดลง แม้ว่าตลาดฮาร์ดแวร์และวัสดุก่อสร้างจะมีผู้เล่นรายใหญ่เพียง 2 ราย แต่เพื่อขยายส่วนแบ่งตลาด ภาคธุรกิจเน้นขยายเครือข่ายร้านค้าปลีกและทำกิจกรรมส่งเสริมตลาดอย่างหนักทำให้ตลาดอุปกรณ์ก่อสร้างมีการแข่งขันด้านราคาสูง และรายได้ของภาคธุรกิจค่อนข้างต่ำ แต่อย่างไรก็ตาม ตลาดยังมีปัจจัยบวก เช่น ราคาบ้านที่สูงขึ้น ทำให้ผู้บริโภคชะลอการซื้อบ้านใหม่และนิยมปรับปรุงซ่อมแซมบ้านแทน

ตลาดอุตสาหกรรมฮาร์ดแวร์และวัสดุก่อสร้างมีผู้เล่นรายใหญ่เพียง  3 ราย

1) บริษัท Wesfarmers Limited ก่อตั้งขึ้นในปี 2457 ในรัฐ WA ดำเนินธุรกิจหลากหลาย โดยมีธุรกิจค้าปลีกสินค้าฮาร์ดแวร์และวัสดุก่อสร้างรวมถึงร้านค้าปลีกสินค้าอื่นๆ เช่น Bunnings, Kmart, Officeworks, Tool Kit Depot, Bullivants, CSBP Fertiliser, Target, CSBP Limited, Coregas, Australian Gold Reagents, Hard Yakka, Blackwoods, Beaumont Tiles, Priceline, Stubbies, KingGee และ Bunnings Trade มีการจ้างงานในภาคธุรกิจมากกว่า 120,000 คน

โดยธุรกิจร้านค้าปลีกฮาร์ดแวร์และวัสดุก่อสร้างดำเนินธุรกิจภายใต้ร้านค้าปลีก Bunnings ซึ่งเป็นผู้นำตลาดสินค้าฮาร์ดแวร์และวัสดุก่อสร้างใหญ่ที่สุดในตลาดออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ เน้นการทำตลาดดิจิทัลและสื่อสารตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ (แคตตาล็อกออนไลน์ เว็บโซต์และแอพลิเคชั่น รวมถึงระบบชำระเงินอัตโนมัติเพื่อลดการใช้แรงงานคน) รวมถึงขยายสาขาให้บริการครอบคลุมทุกพื้นที่ (จากการซื้อกิจการผู้ค้าปลีกรายย่อย) โดยจำหน่ายสินค้าฮาร์ดแวร์และวัสดุก่อสร้างที่หลากหลาย เช่น เครื่องมือช่าง กระเบื้อง/วัสดุปูพื้น อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ วัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้าง อุปกรณ์ประปา สีและไม้ เน้นเจาะกลุ่มลูกค้าที่นิยม DIY  ผู้รับเหมาก่อสร้างและบริษัทก่อสร้างรายย่อย ปี 2567 มีผลประกอบการเพิ่มขึ้นมีมูลค่า 11.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ มีสัดส่วนตลาดร้อยละ 43.3 จากการขยายรายการสินค้าวัสดุปูพื้นและเครื่องมือช่างให้มีความหลากหลายมากขึ้น

2) บริษัท Metcash Limited (Mitre 10) ก่อตั้งขึ้นในปี 2470 ในออสเตรเลียดำเนินธุรกิจค้าปลีก/ค้าส่ง สินค้าอาหาร เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซุปเปอร์มาร์เก็ต และสินค้าฮาร์ดแวร์ ร้านสะดวกซื้อ ร้านจำหน่ายอะไหล่และอุปกรณ์ยานยนต์ ภายใต้แบรนด์ The Bottle-O, IGA Supermarkets, IGA Liquor, Metcash Food & Grocery, True Value Hardware, Campbells/C-store, Campbells Wholesale, Supa IGA, C-Store Distribution, IGA X-press, Mitre 10, Foodland, Thrifty-Link, Independent Brands Australia, Friendly Grocer, IGA, Cellarbrations, Hardings, Total Tools และ Australian Liquor Marketers (ALM) ทั้งในตลาดออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ มีการจ้างงานในภาคธุรกิจมากกว่า 80,000 คน  สินค้าฮาร์ดแวร์และวัสดุก่อสร้างดำเนินธุรกิจภายใต้แบรนด์ Mitre 10 เน้นการซื้อกิจการผู้ค้าปลีกรายย่อยอื่นๆเพื่อให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ และเป็นคู่แข่งรายใหญ่ของ Bunnings ปี 2567 มีผลประกอบการเพิ่มขึ้นมีมูลค่า 868 ล้านเหรียญสหรัฐ มีสัดส่วนตลาดร้อยละ 3.3

3) บริษัท Bowen & Pomeroy Proprietary Limited (Bowens Store) ก่อตั้งขึ้นในปี 2433 ในรัฐ VIC ดำเนินธุรกิจจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไม้และวัสดุก่อสร้าง มีสาขาให้บริการรวม 18 สาขาในรัฐ VIC เน้นเจาะกลุ่มผู้รับเหมาเป็นหลัก โดยนำเสนอสินค้าประเภท Prefabrication บริการจัดส่งและให้เช่า ปี 2567 มีผลประกอบการเพิ่มขึ้นมีมูลค่า 623 ล้านเหรียญสหรัฐ มีสัดส่วนตลาดร้อยละ 2.4

  1. สถิติการค้าที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมก่อสร้าง
    • การนำเข้า

ปี 2566 ออสเตรเลียนำเข้าสินค้าเหล็กและผลิตภัณฑ์ (พิกัด 72 และพิกัด 73) ลดลงร้อยละ 10.28 มีมูลค่า 7.76 พันล้านเหรียญสหรัฐ (คิดเป็น 279 พันล้านบาท)  สินค้าส่วนใหญ่ร้อยละ 42.2 นำเข้าจากจีนมากที่สุด รองลงมาคือ สหรัฐอเมริกา อินเดีย ไต้หวันและเยอรมนี ไทยเป็นแหล่งนำเข้าอันดับที่ 11 มีสัดส่วนการนำเข้าร้อยละ 2.35 มีมูลค่า 182.6 ล้านเหรียญสหรัฐมีการนำเข้าลดลงร้อยละ 11.62 เป็นการลดลงของการนำเข้าสินค้าเหล็กและผลิตภัณฑ์พิกัด 73 อย่างไรก็ตาม การนำเข้าสินค้าเหล็กและผลิตภัณฑ์พิกัด 73 จากไทยเพิ่มขึ้นร้อยละ 74.72

ปี 2567 ในช่วงเดือนมกราคม-เมษายน ออสเตรเลียนำเข้าสินค้าเหล็กและผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.34 มีมูลค่า 2.94 พันล้านเหรียญสหรัฐ (คิดเป็น 105.8 พันล้านบาท) โดยนำเข้าจากจีนมากที่สุดมีสัดส่วนตลาดร้อยละ 39.4 ของการนำเข้าสินค้าเหล็กและผลิตภัณฑ์ทั้งหมด รองลงมาคือ อินโดนีเซีย อินเดีย สหรัฐอเมริกาและไต้หวัน โดยไทยเป็นแหล่งนำเข้าอันดับที่ 11 มีการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 23.34 (มูลค่า 63.5 ล้านเหรียญสหรัฐ) โดยออสเตรเลียเพิ่มการนำเข้าจากเกือบทุกประเทศ (โดยเฉพาะการนำเข้าสินค้าเหล็กและผลิตภัณฑ์ที่นำเข้าจากอินโดนีเซียที่มีการนำเข้าเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด (ร้อยละ 467 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปี 2566) ส่วนหนึ่งเป็นผลจากออสเตรเลียลดการนำเข้าจากสหรัฐอเมริกาและเยอรมนีลง (ร้อยละ 4.24 และร้อยละ 19.86 ตามลำดับ)  ไทยมีการนำเข้าเพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากออสเตรเลียเพิ่มการนำเข้าสินค้าเหล็กและผลิตภัณฑ์(พิกัด 72 และพิกัด 73) ทุกรายการ โดยร้อยละ 86 เป็นการนำเข้าของทำด้วยเหล็กหรือเหล็กกล้า (พิกัด 73) เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.23 โดยการนำเข้าร้อยละ 67.7 เป็นการนำเข้าสินค้าประเภทลูกกลมสำหรับบดและของที่คล้ายกันและสิ่งก่อสร้างและ ของอื่นๆที่มีลักษณะแบบผ้าที่ได้จากการทอ ทำด้วยเหล็กกล้าไม่เป็นสนิม รวมถึงตะแกรง ตาข่ายและรั้วที่เชื่อมตรงจุดตัดทำด้วยลวด สำหรับการนำเข้าเหล็กและเหล็กกล้า (พิกัด 72) เพิ่มขึ้นร้อยละ 57.63 จากการนำเข้าสินค้าประเภทเหล็กแผ่นรีดเย็นและโปรไฟล์ที่มีหน้าตัดคล้ายรูปตัว U และรูปตัว H  คาดว่า การส่งออกสินค้าเหล็กและผลิตภัณฑ์จากไทยในอีก 2-3 ปีข้างหน้ามีแนวโน้มสดใส

  • การส่งออก

ปี 2566 ออสเตรเลียส่งออกสินค้าเหล็กและผลิตภัณฑ์ลดลงร้อยละ 3..25 มีมูลค่า 2.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าส่วนใหญ่ส่งออกไปสหรัฐอเมริกามากที่สุด รองลงมาคือ บังคลาเทศ นิวซีแลนด์ อินโดนีเซียและเวียดนาม เป็นการลดลงของสินค้าเหล็กและผลิตภัณฑ์ทั้ง 2 พิกัด (ร้อยละ 70 เป็นการส่งออกสินค้าพิกัด 72)

ปี 2567 ช่วงเดือนมกราคม-เมษายน ออสเตรเลียส่งออกสินค้าเหล็กและผลิตภัณฑ์ (พิกัด 72 และ 73) เพิ่มขึ้นร้อยละ 39.42 มีมูลค่า 877.8 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยร้อยละ 75 เป็นการส่งออกสินค้าเหล็กและผลิตภัณฑ์พิกัด 72 (เพิ่มขึ้นร้อยละ 54) และร้อยละ 25.4 เป็นการส่งออกสินค้าเหล็กและผลิตภัณฑ์พิกัด 73 เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.13 จากการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา บังคลาเทศ เวียดนาม สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และนิวซีแลนด์

5. โอกาสต่อการส่งออกสินค้าไทย

การใช้จ่ายภาครัฐในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (สร้างถนน ทางด่วน รถไฟ ระบบคมนาคมและเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียน) และการก่อสร้างที่พักอาศัยใหม่เพื่อแก้ไขปัญหาที่พักอาศัยไม่เพียงพอ จะเป็นปัจจัยบวกต่อความต้องการสินค้าเหล็กและผลิตภัณฑ์ วัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้าง

  • ราคาที่พักอาศัยที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและความต้องการที่พักอาศัยเพิ่มขึ้นจากการเติบโตของจำนวนประชากรออสเตรเลียที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 ในปี 2566 (การเดินทางเข้าประเทศของแรงงานและนักเรียน/นักศึกษา) และคาดว่า ในอีก 10 ปีข้างหน้าจะขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 1.4 ต่อปี รวมถึงความมั่นคงทางการเงินและความเชื่อมั่นผู้บริโภค จะทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ออสเตรเลียฟื้นตัว กระตุ้นการกลับมาของนักลงทุนและมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
  • ปัจจัยด้านที่พักอาศัยไม่เพียงพอ ทำให้เกิดกระแส DIY และการปรับปรุงและซ่อมแซมบ้านใหม่เพื่อแบ่งเช่าทำให้ความต้องการสินค้า เช่น วัสดุอุปกรณ์ซ่อมแซมบ้าน และเฟอร์นิเจอร์มีแนวโน้มสดใส

กระแสการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน (Sustainable และ Eco living) ทำให้ความต้องการสินค้าเทคโนโลยีประหยัดพลังงาน วัสดุอุปกรณ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น (เช่น สีทาบ้าน กาว และวัตถุดิบ Finishing material) กาวทนความร้อน ฉนวนกันความร้อน วัตถุดิบ   รีไซเคิล และเครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้าและระบบเทคโนโลยีอัจฉริยะ รวมถึงบริการออกแบบด้านสถาปัตยกรรมที่อยู่อาศัยอย่างยั่งยืนที่เน้นการใช้พลังงานจากธรรมชาติ (แสงอาทิตย์ การถ่ายเทของลมธรรมชาติ) เป็นต้น

6. อุปสรรคและความท้าทายต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมก่อสร้าง

  • ดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านที่สูงจากการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของรัฐบาลกลางเพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อจะเป็นปัจจัยลบต่อการเติบโตของตลาดที่พักอาศัยแต่จะส่งผลกระทบเพียงระยะสั้น
  • ปัจจัยด้านต้นทุนการก่อสร้าง (ค่าวัสดุ เครื่องมือและอุปกรณ์การก่อสร้าง) รวมถึงต้นทุนด้านแรงงานที่ค่อนข้างสูง การล้มละลายของบริษัทก่อสร้างหลายราย ส่งผลกระทบต่อโครงการก่อสร้างมากกว่า 130 โครงการ คาดว่าจะมีผลการก่อสร้างที่พักอาศัยปี 2567 หดตัวลงร้อยละ 6.7 (คาดว่า จะหดตัวลงในช่วงสั้นๆ)

กฎหมายก่อสร้างแห่งชาติของออสเตรเลีย (National Construction Code of Australia: NCC)กำหนดให้การก่อสร้างที่พักอาศัยในออสเตรเลียจำเป็นต้องเป็นไปตามมาตรฐานขั้นต่ำทั้งด้านการออกแบบและก่อสร้าง7.กฎระเบียบและมาตรฐานในอุตสาหกรรมก่อสร้าง

อุตสหกรรมก่อสร้างออสเตรเลียจะมีกฎหมายกำกับดูแลโดยรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่น โดยหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในการกำกับดูแลได้แก่

  • Building Code of Australia (BCA) เริ่มประกาศใช้ในปี 2539 และมีการปรับปรุงประจำทุกปี เพื่อให้ครอบคลุมเนื้อหาสาระที่จำเป็นในภาคอุตสาหกรรม ปัจจุบัน BCA ได้รวมอยู่ในกฎหมายก่อสร้างแห่งชาติของออสเตรเลีย (National Construction Code of Australia: NCC) เพื่อให้การก่อสร้างในออสเตรเลียทั้งหมดเป็นไปตามมาตรฐานขั้นต่ำทั้งด้านการออกแบบและก่อสร้าง
  • การให้ความสำคัญต่อระบบนิเวศส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงกฎหมายก่อสร้าง และมีผลต่อ ทิศทางการก่อสร้างในภาคอุตสาหกรรมที่ให้ความสำคัญกับการก่อสร้างที่ส่งเสริมความยั่งยืน    ทั้งด้านการใช้พลังงานและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การสร้างอาคารสำนักงาน ต้องเป็นไปตามมาตรฐานความยั่งยืนต่อสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อม (Climate และ Environment) ของ Green Building Council of Australia (GBCA) ที่จัดอันดับ Green Star ให้กับอาคารสำนักงานที่มีรูปแบบโครงสร้างทั้งภายในและภายนอกเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมสุขภาพและคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย และช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตในชุมชนท้องถิ่น (ร้อยละ 94 ในโครงการก่อสร้างออสเตรเลียเป็น Green building project) นอกจากนี้ยังมี National Australian Built Environment Rating System (NABERS) ทำการตรวจประเมินผลกระทบด้านการใช้พลังงาน น้ำ การปล่อยของเสีย และคุณภาพอากาศภายในอาคารและที่พักอาศัยซึ่งมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และปัจจุบันการปรับปรุงและซ่อมแซมที่พักใหม่ต้องมีประสิทธิภาพการใช้พลังงานตามมาตรฐานใหม่ House Energy Rating Scheme (NatHERS 7 ดาว) ซึ่งเริ่มบังคับใช้เดือนพฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา เพื่อช่วยประหยัดพลังงาน ลดการเกิดเชื้อราจากระบบระบายอากาศอันจะเป็นสาเหตุของปัญหาสุขภาพ
  • กฎหมาย Modern Slavery Act 2018 (เริ่มบังคับใช้ 1 มกราคม 2562) ซึ่งกำหนดให้ภาคธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีรายได้รวมอย่างน้อย 100 ล้านเหรียญออสเตรเลียต่อปีต้องรายงานการปฏิบัติเพื่อลดความเสี่ยงต่อการใช้แรงงานทาสในกระบวนการผลิตและระบบห่วงโซ่อุปทานทั้งในและต่างประเทศ โดยรัฐ NSW มีข้อกำหนดเฉพาะ โดยกำหนดให้ภาคธุรกิจในรัฐ NSW ที่มีรายได้รวมอย่างน้อย 50 ล้านเหรียญออสเตรเลียต่อปีต้องรายงานการปฏิบัติเพื่อลดความเสี่ยงต่อการใช้แรงงานทาส (เริ่มบังคับใช้ 1 มกราคม 2564

7.แนวทางในการขยายตลาด

    • การเข้าร่วมงานแสดงสินค้า Sydney Build ในออสเตรเลียจะเป็นงานที่มีศักยภาพอย่างยิ่งและเหมาะแก่ผู้ประกอบการไทยที่ต้องการหาลูกค้าใหม่และขยายฐานลูกค้าเดิมในตลาดออสเตรเลียเพื่อสร้างโอกาสการนำเสนอสินค้าและบริการเกี่ยวกับที่พักอาศัยในตลาดออสเตรเลีย เนื่องจากแนวโน้มตลาดอุตสาหกรรมก่อสร้างออสเตรเลีย (ที่พักอาศัยและไม่ใช่ที่พักอาศัย) ในออสเตรเลียในอีก 5 ปี ข้างหน้ามีแนวโน้มขยายตัวได้ดีโดยเฉพาะตลาดที่พักอาศัยจากปัจจัยบวกหลายประการ อาทิ การเพิ่มขึ้นของประชากรออสเตรเลียเฉลี่ยร้อยละ 1.4 ต่อปี นโยบายเพิ่มจำนวนที่พักอาศัยและบ้านพักสวัสดิการพลเมืองของภาครัฐและการกลับมาลงทุนก่อสร้าง
    • งาน Sydney Build Expo เป็นศูนย์รวมสินค้าและบริการ ครอบคลุมธุรกิจเกี่ยวกับอุตสาหกรรมก่อสร้างและออกแบบที่ใหญ่ที่สุด ประกอบด้วย โซนจัดแสดงสินค้า 4 โซน หลัก ได้แก่ โซน Sydney Build expo โซน Australia HVACR expo โซน DCA (Digital Construction Australia และโซน International Construction expo ปี 2567 มีผู้เข้าร่วมงานในภาคธุรกิจก่อสร้างรวมกว่า 24,727 ราย มีผู้เข้าร่วมออกบูทมากกว่า 500 คูหา (ร้อยละ 77 จองคูหาในปี 2568 อีกครั้ง) และมีการจัดสัมมนาและ Workshop ตลอด 2 วัน โดยงาน Sydney Build 2025 Expo จะจัดขึ้นอีกครั้งในปี 2568 ระหว่างวันที่ 7-8 พฤษภาคม 2568 ที่ ICC นครซิดนีย์ ออสเตรเลีย

      …………………………………………………………….

      สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครซิดนีย์

      มิถุนายน  2567

      ที่มา:

      IBISWorld

      Australian Bureau of Statistics

      AI Group

thThai