ในวันที่ 7 สิงหาคม 2024 ที่ผ่านมา ได้มีการจัดพิธีลงนามสัญญาร่วมทุนเพื่อจัดตั้งธนาคารทองคำลาว จำกัด ระหว่างท่านสันติภาพ พรหมวิหาร รัฐมนตรีกระทรวงการเงิน และท่านจันทอน สิทธิไซ ประธานและผู้ก่อตั้ง บริษัท พีทีแอล โฮลดิ้ง จำกัด ณ โรงแรมคราวน์พลาซ่า นครหลวงเวียงจันทน์ โดยจุดประสงค์ของการจัดพิธีและเซ็นสัญญาร่วมทุนระหว่างรัฐบาลและเอกชนในครั้งนี้ คือต้องการแสดงวิสัยทัศน์ของพรรคและรัฐบาลแห่ง สปป. ลาว ว่าด้วยการสำรองความมั่นคงและสร้างเสถียรภาพด้านเศรษฐกิจของประเทศชาติผ่านการสร้างตั้งธนาคารทองคำลาว จำกัด ที่จะสามารถสร้างโอกาสทางด้านการคลังและสร้างความเข้มแข็งสกุลเงินกีบ ให้เกิดสภาพคล่องทางด้านเศรษฐกิจที่จะนำมาพัฒนาประเทศชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดผลประโยชน์สูงสุดต่อกับเศรษฐกิจของประเทศ
สปป.ลาว เป็นหนึ่งในประเทศอันดับต้น ๆ ของโลกด้านการขุดค้นและผลิตทองคำ เป็นอันดับ 3ในอาเซียนและอันดับ 6 ในทวีปเอเชีย ซึ่งคาดว่า ยังคงมีแร่ทองคำที่ยังไม่ได้ถูกขุดค้นประมาณ 500-1,000 ตัน และหากได้รับการรับรองคุณภาพจากสากล โดยเฉพาะหน่วยงานศึกษาสำรวจบ่อแร่ที่เกี่ยวข้องแล้วนั้นจะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับคลังสำรองภายในประเทศได้ถึง 50,000 – 76,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ที่จะช่วยเพิ่มสภาพคล่องทางด้านการเงิน และเป็นแหล่งทุนที่จะนำมาใช้ในการพัฒนาโครงการยุทธศาสตร์ด้านต่าง ๆ ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน เกษตรกรรม และอุตสาหกรรม ที่เป็นส่วนสำคัญในการสร้างความมั่นคงให้แก่ระบบเศรษฐกิจของประเทศ
การจัดตั้งและการให้บริการธนาคารทองคำนั้นจะสามารถยกระดับการบริหารจัดการทองคำของ สปป. ลาว ให้ได้ตามมาตรฐานของ London Bullion Market Association (LBMA) ที่เป็นที่ยอมรับและสามารถแข่งขันในระดับภาคพื้นและสากลได้ ผ่านการบริการต่าง ๆ ของธนาคารทองคำ เช่น บัญชีฝากทองคำสินเชื่อการให้กู้เงินและทองคำ การรับรองคุณภาพทองคำให้เป็นระดับสากล (LBMA) เป็นต้น การบริการต่าง ๆ เหล่านี้ จะสามารถยกระดับอุตสาหกรรมและห่วงโซ่อุปทานทองคำของประเทศลาว สร้างภาพลักษณ์ใหม่และทำให้ลาวเป็นผู้นำด้าอุตสาหกรรมทองคำที่สามารถแข่งขันได้ในระดับภาคพื้นและสากล ซึ่งจะทำให้ สปป. ลาว เป็นที่รู้จักและยอมรับในเวทีเศรษฐกิจโลก อีกทั้งเป็นการส่งเสริมและดึงดูดการลงทุนจากทั้งภายในและต่างประเทศให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจ โดยคาดว่าจะเปิดบริการในระยะที่ 1 ในปลายเดือนกันยายน 2024 และเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการภายในปลายเดือพฤศจิกายนหรือปลายปีนี้
**************************************
ที่มา Vientiane Times
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เวียงจันทน์ สปป.ลาว