รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศของสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ เดือนกรกฎาคม 2567

รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศของสาธารณรัฐฟิลิปปินส์

ประจำเดือนกรกฎาคม 2567

1. ภาพรวมเศรษฐกิจสำคัญ/ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจที่สำคัญ

1.1 การเติบโตทางเศรษฐกิจ

ในช่วงไตรมาสสองของปี 2567 ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของฟิลิปปินส์ขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 6.3 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 5.8 ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2567 และเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 4.3 ในไตรมาสเดียวกันของปี 2566 โดยภาคส่วนหลักที่มีส่วนร่วมในการเติบโตของ GDP ได้แก่ ภาคการก่อสร้างขยายตัวร้อยละ 16.0 ภาคค้าส่งและค้าปลีก การซ่อมแซมยานยนต์และจักรยานยนต์ขยายตัวร้อยละ 5.8 ภาคการเงินและการประกันภัยขยายตัวร้อยละ 8.2 สำหรับภาคเศรษฐกิจหลัก ได้แก่ ภาคอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ 7.7 และภาคการบริการขยายตัวร้อยละ 6.8 ในขณะที่ภาคเกษตรกรรมป่าไม้และประมงหดตัวร้อยละ 2.3
ในส่วนของด้านอุปสงค์พบว่าการใช้จ่ายภาคครัวเรือนขยายตัวร้อยละ 4.6 ขณะที่การใช้จ่ายของภาครัฐขยายตัวร้อยละ 10.7 ในส่วนการส่งออกสินค้าและบริการขยายตัวร้อยละ 4.2 และการนำเข้าสินค้าและบริการขยายตัวร้อยละ 5.2 สำหรับรายจ่ายเพื่อการสะสมทุนรวมเบื้องต้น (Gross Capital Formation) ขยายตัวร้อยละ 11.5 รายได้ประชาชาติ (Gross National Income) ขยายตัวร้อยละ 7.9 และรายได้ปฐมภูมิ (Net Primary Income)ขยายตัวร้อยละ 24.7

รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศของสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ เดือนกรกฎาคม 2567

ที่มา: สำนักงานสถิติแห่งชาติฟิลิปปินส์ (เข้าถึงข้อมูลวันที่ 15 สิงหาคม 2567)

1.2 ภาวะการลงทุน

ในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2567 ฟิลิปปินส์มีการลงทุนจากต่างประเทศ (Foreign Investment: FI) มูลค่ารวม 1.48 แสนล้านเปโซ ลดลงร้อยละ 63.6 จากช่วงเดียวกันของปี 2566 ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนอยู่ที่ 4.08 แสนล้านเปโซ โดยเป็นการลงทุนผ่านหน่วยงานส่งเสริมการลงทุน 5 หน่วยงาน ได้แก่

– Board of Investments (BOI)

– Clark Development Corporation (CDC)

– Cagayan Economic Zone Authority (CEZA)

– Philippine Economic Zone Authority (PEZA)

– Subic Bay Metropolitan Authority (SBMA)

รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศของสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ เดือนกรกฎาคม 2567

                 ทั้งนี้ การลงทุนจากต่างประเทศในไตรมาสที่ 1 ของปี 2567 พบว่าเป็นการลงทุนจากประเทศสิงคโปร์มากที่สุดคิดเป็นมูลค่าการลงทุน 7.01 หมื่นล้านเปโซ หรือคิดเป็นร้อยละ 47.2 ของมูลค่าการลงทุนทั้งหมด รองลงมาได้แก่ เนเธอร์แลนด์มีมูลค่าการลงทุน 3.89 หมื่นล้านเปโซ คิดเป็นร้อยละ 26.2 และเกาหลีใต้มีมูลค่าการลงทุน 2.02 หมื่นล้านเปโซ คิดเป็นร้อยละ 13.6 สำหรับอุตสาหกรรมที่มีการลงทุนจากต่างประเทศมากที่สุด คือ อุตสาหกรรมไฟฟ้า ก๊าซธรรมชาติ ไอน้ำ และการปรับอากาศ คิดเป็นร้อยละ 73.6 รองลงมาได้แก่ อุตสาหกรรมที่พักและบริการอาหาร (ร้อยละ 13.5) และอุตสาหกรรมการผลิต (ร้อยละ 8.5) ตามลำดับ โดยผลจากการลงทุนในไตรมาสที่ 1 ของปี 2567 ก่อให้เกิดการจ้างงาน 23,378 งาน หรือคิดเป็นร้อยละ 84.36 ของการลงทุนจากในประเทศและต่างประเทศทั้งหมด

1.3 การบริโภคภายในประเทศ

จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติฟิลิปปินส์ระบุว่า ในช่วงไตรมาสสองของปี 2567 การใช้จ่ายภาคครัวเรือนของฟิลิปปินส์ขยายตัวร้อยละ 4.64 ลดลงจากร้อยละ 5.5 ในไตรมาสเดียวกันของปี 2566 แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 1 ของปี 2567 ที่ขยายตัวร้อยละ 4.58 โดยการใช้จ่ายด้านอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์มีมูลค่ามากที่สุด อยู่ที่ 1.37 ล้านล้านเปโซ ขยายตัวร้อยละ 7.71 รองลงมาได้แก่ ค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าเชื้อเพลิง มีมูลค่า 586,784 ล้านเปโซ ขยายตัวร้อยละ 23.85 และค่าใช้จ่ายด้านสินค้าเบ็ดเตล็ดบริการอื่นๆ มีมูลค่า 509,008 ล้านเปโซ หดตัวร้อยละ 6.63 ตามลำดับ

รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศของสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ เดือนกรกฎาคม 2567

1.4 อัตราเงินเฟ้อ

อัตราเงินเฟ้อของฟิลิปปินส์ในเดือนกรกฎาคม 2567 อยู่ที่ร้อยละ 4.4 เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2567 ที่มีอัตราอยู่ที่ร้อยละ 3.7 แต่อยู่ในระดับต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อในเดือนกรกฎาคม 2566 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 4.7 ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในเดือนกรกฎาคม 2567 มีสาเหตุหลักมาจากการขยายตัวของค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเชื้อเพลิง ค่าอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ รวมทั้งการขยายตัวของราคาค่าขนส่งและค่าบริการเพื่อการศึกษา

รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศของสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ เดือนกรกฎาคม 2567

1.5 อัตราการจ้างงานและอัตราการว่างงาน

               อัตราการจ้างงานในเดือนมิถุนายน 2567 อยู่ที่ร้อยละ 96.9 เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2567 ที่มีอัตราอยู่ที่ร้อยละ 95.9 และเพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2566 ที่มีอัตราจ้างงานอยู่ที่ร้อยละ 95.5 สำหรับอัตราการว่างงานอยู่ที่ร้อยละ 3.1 ลดลงจากเดือนพฤษภาคม 2567 ที่มีอัตราอยู่ที่ร้อยละ 4.1 และลดลงจากเดือนมิถุนายน 2566 ที่มีอัตราอยู่ที่ร้อยละ 4.5

รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศของสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ เดือนกรกฎาคม 2567

 

2. สถานการณ์การค้า (การส่งออก-นำเข้า)

         2.1 การส่งออก

              การส่งออกของฟิลิปปินส์ในเดือนมกราคม – มิถุนายน 2567 มีมูลค่ารวม 36,407.04 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2566 ที่มีมูลค่าส่งออก 35,335.93 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.0 ตารางที่ 2 แสดงถึงมูลค่าและอัตราการขยายตัวของสินค้าส่งออกหลักของฟิลิปปินส์ โดยจำแนกตามประเภทของสินค้า และตารางที่ 3 แสดงถึงมูลค่าและอัตราการขยายตัวของสินค้าส่งออกหลักของประเทศฟิลิปปินส์จำแนกตามตลาด

รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศของสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ เดือนกรกฎาคม 2567

รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศของสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ เดือนกรกฎาคม 2567

รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศของสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ เดือนกรกฎาคม 2567

   2.2 การนำเข้า

การนำเข้าของฟิลิปปินส์ในเดือนมกราคม – มิถุนายน 2567 มีมูลค่า 61,407.10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2566 ที่มีมูลค่า 62,961.56 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือลดลงร้อยละ 2.5 ตารางที่ 4 แสดงถึงมูลค่าและอัตราการขยายตัวของสินค้านำเข้าหลักของฟิลิปปินส์ โดยจำแนกตามประเภทของสินค้า และตารางที่ 5 แสดงถึงมูลค่าและอัตราการขยายตัวของสินค้านำเข้าหลักของฟิลิปปินส์จำแนกตามแหล่งนำเข้า

รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศของสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ เดือนกรกฎาคม 2567

รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศของสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ เดือนกรกฎาคม 2567

2.3 มูลค่าการค้าระหว่างไทย – ฟิลิปปินส์

มูลค่าการค้ารวมของไทยกับฟิลิปปินส์ในช่วงเดือนมกราคม – มิถุนายน 2567 อยู่ที่ 5,304.33 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.14 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 ที่มีมูลค่า 5,297.12 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.79 ของการค้าไทยไปทั่วโลก สำหรับการส่งออกจากไทยไปยังฟิลิปปินส์ในช่วงเดือนมกราคม – มิถุนายน 2567 มีมูลค่า 3,658.40 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 1.96 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 ที่มีมูลค่า 3,731.51 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.52ของการส่งออกไปทั่วโลก ในขณะเดียวกันไทยมีการนำเข้าจากฟิลิปปินส์ในช่วงเดือนมกราคม – มิถุนายน 2567 มีมูลค่า 1,645.93 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.13 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 ที่มีมูลค่านำเข้า 1,565.62 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.09 ของการนำเข้าจากทั่วโลก สรุปการค้าระหว่างไทย – ฟิลิปปินส์ในเดือนมกราคม – มิถุนายน 2567 ปรากฏว่าไทยได้เปรียบดุลการค้าฟิลิปปินส์ เป็นมูลค่า 2,012.47 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศของสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ เดือนกรกฎาคม 2567 รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศของสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ เดือนกรกฎาคม 2567

2.4 การส่งออกสินค้าของไทยไปยังฟิลิปปินส์

เมื่อพิจารณาสินค้า 5 อันดับที่ไทยส่งออกไปยังฟิลิปปินส์ในเดือนมกราคม – มิถุนายน 2567 พบว่า สินค้ารถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ มีมูลค่าส่งออกสูงสุด 1,198.91 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 2.14 จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 รองลงมา ได้แก่ แผงวงจรไฟฟ้า ข้าว เครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว  และเม็ดพลาสติก ตามลำดับ

รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศของสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ เดือนกรกฎาคม 2567

2.5 การนำเข้าของไทยจากฟิลิปปินส์

เมื่อพิจารณาการนำเข้าสินค้า 5 อันดับของไทยจากฟิลิปปินส์ในเดือนมกราคม – มิถุนายน 2567 พบว่า เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ มีมูลค่าสูงสุด 391.29 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 61.98 จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 รองลงมา ได้แก่ แผงวงจรไฟฟ้า สินแร่โลหะอื่น ๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ และส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ ตามลำดับ

รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศของสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ เดือนกรกฎาคม 2567

  1. สถานการณ์และภาวะสินค้าเป้าหมายของไทยในตลาดฟิลิปปินส์

แนวโน้มการส่งออกสินค้าไทยมายังฟิลิปปินส์ในเดือนมกราคม – มิถุนายน 2567 ประเภทสินค้าหลัก 5 อันดับของไทยที่มีการขยายตัวในการส่งออกมายังตลาดฟิลิปปินส์ คือ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบและข้าว โดยสรุปข้อมูลสถานการณ์และภาวะสินค้าโดยสังเขป ดังนี้

3.1 รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ

สถานการณ์ตลาดรถยนต์ของฟิลิปปินส์ส่งสัญญาณเชิงบวกตั้งแต่ปี 2564 จนถึงปัจจุบัน โดยยอดจำหน่ายรถยนต์ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่กลับมาขับเคลื่อนอย่างเต็มประสิทธิภาพ ส่งผลให้ความต้องการซื้อรถยนต์ใหม่ทั้งส่วนบุคคลและรถยนต์เชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้นและคาดการณ์ว่าในปี 2567 ยอดจำหน่ายรถยนต์ในฟิลิปปินส์จะกลับมาเติบโตเกินกว่าระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งนี้ ฟิลิปปินส์เป็นหนึ่งในตลาดส่งออกรถยนต์สำคัญของไทย และเป็นสินค้าที่ไทยส่งออกมายังประเทศฟิลิปปินส์เป็นอันดับ 1 โดยสถานการณ์การส่งออกสินค้ารถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบของไทยมายังฟิลิปปินส์ขยายตัวดีขึ้นตามการฟื้นตัวของตลาดรถยนต์ในฟิลิปปินส์ โดยในปี 2566 มีมูลค่า 2,629.48 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 35.39 จากปี 2565 ที่มีมูลค่า 1,942.21 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทั้งนี้ตลาดรถยนต์ในฟิลิปปินส์ยังคงเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงและสามารถเติบโตได้อีกมากจากปัจจัยการสนับสนุนจากจำนวนประชากรขนาดใหญ่ อัตราการเป็นเจ้าของรถยนต์ยังคงอยู่ในระดับต่ำ รวมทั้งปัจจัยหนุนอื่นๆ ทั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศซึ่งจะช่วยผลักดันให้เกิดความต้องการรถยนต์เพิ่มมากขึ้น

           3.2 ข้าว

ฟิลิปปินส์เป็นตลาดที่มีบริโภคข้าวเป็นอาหารหลัก โดยมีการบริโภคเฉลี่ยมากถึงปีละประมาณ 16 ล้านตัน แต่สามารถผลิตข้าวได้เพียงปีละประมาณ 12 ล้านตัน ทำให้จำเป็นต้องพึ่งพาการนำเข้าข้าวปีละกว่า 3 ล้านตัน ทั้งนี้ ฟิลิปปินส์ยังเป็นหนึ่งในประเทศกลุ่มเสี่ยงที่สุดในเอเชียเกี่ยวกับความมั่นคงทางอาหาร โดยเฉพาะข้าวซึ่งเป็นอาหารหลักพื้นฐานของประเทศที่มีความท้าทายหลายประการในการผลิตข้าวให้เพียงพอกับความต้องการและการขยายตัวของจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นจำนวนมากในแต่ละปี นอกจากนี้ ฟิลิปปินส์ต้องเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด พายุไต้ฝุ่นที่ส่งผลต่อความเสียหายต่อพืชผลทางการเกษตรทุกปี การขาดแคลนเทคโนโลยีการเกษตรที่ทันสมัย รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของประชากรในแรงงานภาคเกษตร และล่าสุดความกังวลต่อผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญ่ที่อาจทำให้ผลผลิตข้าวในประเทศลดลง ส่งผลให้มีการคาดการณ์ว่าในปีนี้ ฟิลิปปินส์อาจต้องนำเข้าข้าวมากถึง 4.1 ล้านตัน เพื่อเสริมอุปทานข้าวในประเทศและสำรองข้าวไว้ใช้ในยามขาดแคลน ทั้งนี้ ปัจจุบันฟิลิปปินส์เป็นประเทศผู้นำเข้าข้าวรายใหญ่ที่สุดของโลก ทำให้ฟิลิปปินส์เป็นหนึ่งในตลาดส่งออกข้าวศักยภาพของไทย โดยปัจจุบันไทยเป็นหนึ่งในแหล่งนำเข้าข้าวสำคัญของฟิลิปปินส์รองจากประเทศเวียดนามที่ครองส่วนแบ่งตลาดข้าวนำเข้าอันดับ 1 ในฟิลิปปินส์ โดยในปี 2566 ไทยส่งออกข้าวมายังฟิลิปปินส์ปริมาณ 210.45 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 184.23 จากปี 2565 ที่มีมูลค่า 74.04 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สำหรับในปี 2567 (เดือนมกราคม – มิถุนายน) ไทยส่งออกข้าวมาฟิลิปปินส์มูลค่า 159.87 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 490.89 จากช่วงเดียวกันของปี 2566 ที่มีมูลค่าส่งออก 27.06 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทั้งนี้ ข้าวไทยยังคงมีข้อได้เปรียบสำคัญในเรื่องของคุณภาพมาตรฐานที่เป็นที่เชื่อมั่นใจของผู้บริโภคชาวฟิลิปปินส์ และราคาข้าวไทยปัจจุบันอยู่ในระดับใกล้เคียงกับคู่แข่ง แต่ยังคงต้องแข่งขันกับประเทศคู่แข่งสำคัญ คือเวียดนามที่มีพันธุ์ข้าวขาวพื้นนุ่มตรงกับความต้องการของตลาด ซึ่งไทยจำเป็นต้องเร่งพัฒนาและผลิตพันธุ์ข้าวให้มีความหลากหลาย โดยเฉพาะข้าวขาวพื้นนุ่มเพื่อตอบโจทย์ให้ตรงกับความต้องการของตลาดฟิลิปปินส์จึงจะมีโอกาสในการช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดข้าวในฟิลิปปินส์ได้มากขึ้นต่อไป                

ข้อสังเกตเพิ่มเติม                                                             

เศรษฐกิจของฟิลิปปินส์ในไตรมาสสองของปี 2567 ขยายตัวร้อยละ 6.3 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 5.8 ในไตรมาส   ที่ 1 ของปี 2567 และเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 4.3 ในไตรมาสเดียวกันของปี 2566 แต่ยังต่ำกว่าเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้ร้อยละ 6 – 7 ในปีนี้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียพบว่า ฟิลิปปินส์ยังคงเป็นประเทศที่มีการเติบโตของเศรษฐกิจที่เร็วที่สุดเหนือกว่าประเทศเวียดนาม (ร้อยละ 5.6) จีน (ร้อยละ 5.3)
อินโดนีเซีย (ร้อยละ 5.1) และมาเลเซีย (ร้อยละ 3.9) สำหรับการขยายตัวของเศรษฐกิจในไตรมาสสองของปี 2567 ได้รับแรงหนุนหลักจากการใช้จ่ายภาคครัวเรือน และการส่งออกโดยเฉพาะการฟื้นตัวของการส่งออกอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่การนำเข้าชะลอลง ทั้งนี้ คาดว่าเศรษฐกิจของฟิลิปปินส์ในระยะสั้นและระยะกลางจะยังคงเติบโตเชิงบวกแม้ว่าจะมีความเสี่ยงและความท้าทายที่เศรษฐกิจอาจชะลอตัวลงจากอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้น นโยบายการเงินที่ตึงตัว อัตราดอกเบี้ยที่ยังคงอยู่ในระดับสูง แนวโน้มการส่งเงินกลับประเทศของแรงงานฟิลิปปินส์อาจลดลง รวมถึงความกังวลต่อปรากฏการณ์เอลนีโญที่ส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรกรรมและการผลิต ส่งผลให้ราคาอาหารสูงขึ้น

สำหรับแนวโน้มสถานการณ์การส่งออกสินค้าไทยมายังตลาดฟิลิปปินส์ชะลอตัวลง อย่างไรก็ตาม ในเดือนมกราคม – มิถุนายน 2567 พบว่าการส่งออกสินค้าบางรายการของไทยมาฟิลิปปินส์ยังคงสามารถขยายตัวได้ดี โดยนอกจากสินค้ารถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบและข้าวแล้ว ยังมีสินค้าที่มีศักยภาพและสามารถขยายตัวเพิ่มขึ้น เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (+ร้อยละ 81.51) สินค้าอุตสาหกรรมอื่น ๆ (+ร้อยละ 17.00) นมและผลิตภัณฑ์นม (+ร้อยละ 23.53) และผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีและอาหารสำเร็จรูปอื่น ๆ (+ร้อยละ 34.68) เป็นต้น

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงมะนิลา

                                                           กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ

15 สิงหาคม 2567

thThai