อินโดนีเซียส่งเสริมอุตสาหกรรมเครื่องสำอางที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

อุตสาหกรรมเครื่องสำอางของอินโดนีเซียกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญซึ่งขับเคลื่อนโดยความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับแนวทางดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืนและผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ มีการนำแนวทางปฏิบัติที่ดีในการผลิตสินค้า (Good Manufacturing Practice : GMP) สำหรับเครื่องสำอางมาร่วมปรับใช้ในการผลิต ซึ่งในอินโดนีเซียเรียกว่า CPKB (Cara Pembuatan Kosmetik yang Baik) การรับรองนี้มีผลบังคับใช้กับผู้ผลิตเครื่องสำอางทุกบริษัท จะช่วยให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์เป็นไปตามมาตรฐานคุณภาพสูงตลอดกระบวนการผลิตและการจัดจำหน่าย

เครื่องสำอางได้พัฒนาจนกลายมาเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันที่ผู้คนหลายล้านคนใช้ในชีวิตประจำวัน ความต้องการที่เพิ่มขึ้นนี้กระตุ้นให้เกิดการเติบโตอย่างมหาศาลในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางของอินโดนีเซีย อ้างอิงจากข้อมูลของสำนักงานกำกับดูแลเครื่องสำอาง ธุรกิจเครื่องสำอางมีจำนวนเพิ่มขึ้น 25 เปอร์เซ็นต์ตั้งแต่ปี 2020 ถึงปี 2023 ผลิตภัณฑ์ที่ขึ้นทะเบียนกับสำนักงานอาหารและยาของอินโดนีเซีย (BPOM) มากกว่าครึ่งหนึ่งเป็นเครื่องสำอาง ซึ่งแซงหน้ายารักษาโรค ยาแผนโบราณ อาหารเสริม และผลิตภัณฑ์อาหารรวมกัน

พลวัตของอุตสาหกรรมซึ่งขับเคลื่อนด้วยเทรนด์และวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นความท้าทายที่แตกต่างจากสินค้าประเภทอื่น ๆ ให้กับหน่วยงานอาหารและยาอินโดนีเซีย แนวโน้มที่น่าสนใจอย่างหนึ่งคือการเพิ่มขึ้นของเครื่องสำอางแบบสามารถนำผลิตภัณฑ์มาเติมในบรรจุภัณฑ์เดิมได้ (Refill) แนวทางปฏิบัติที่สร้างสรรค์นี้ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถซื้อผลิตภัณฑ์เติมได้จากเครื่องจ่ายสินค้า ทำให้ลดความจำเป็นในการใช้บรรจุภัณฑ์ใหม่ และช่วยแก้ปัญหาความกังวลที่เพิ่มมากขึ้นเกี่ยวกับขยะพลาสติก

ขยะพลาสติกเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เร่งด่วน เนื่องจากต้องใช้เวลาหลายศตวรรษในการย่อยสลาย ข้อมูลจากกรีนพีซระบุว่าขยะพลาสติกคิดเป็น 57 เปอร์เซ็นต์ของขยะทั่วโลก โดยอินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีขยะพลาสติกมากที่สุดเป็นอันดับสองรองจากจีน สถิติในประเทศเผยให้เห็นว่าขยะพลาสติกเป็นขยะที่มีมากที่สุดอันดับสองในอินโดนีเซีย โดยมีขยะพลาสติกเกิดขึ้นจำนวน 5.4 ล้านตันต่อปี หรือคิดเป็น 14 เปอร์เซ็นต์ของขยะทั้งหมด วัสดุบรรจุภัณฑ์ เช่น ขวดและฝาขวด มีส่วนทำให้เกิดขยะมากที่สุด

ประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากการนำแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนมาใช้มีมากมาย ธุรกิจที่นำแนวคิดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้สามารถเข้าถึงตลาดของผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมซึ่งกำลังเติบโตได้ ตามรายงานของ Nielsen ผู้บริโภคทั่วโลก 66 เปอร์เซ็นต์เต็มใจที่จะจ่ายเงินมากขึ้นสำหรับแบรนด์ที่ยั่งยืน การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคนี้เป็นโอกาสให้บริษัทเครื่องสำอางในอินโดนีเซียสร้างสรรค์นวัตกรรมและเป็นผู้นำด้านความยั่งยืน

นอกจากนี้ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของอุตสาหกรรมเครื่องสำอางยังมีมากกว่าแค่ขยะจากบรรจุภัณฑ์ ตัวอย่างเช่น กระบวนการผลิต ส่วนประกอบที่ใช้ และการกำจัดผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางล้วนมีส่วนทำให้เกิดการปล่อยคาร์บอนในอุตสาหกรรม ดังนั้นแนวทางที่ครอบคลุมเพื่อความยั่งยืนจึงไม่เพียงแต่ต้องลดขยะบรรจุภัณฑ์เท่านั้น แต่ยังต้องนำแนวทางการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้ จัดหาส่วนผสมที่ยั่งยืน และส่งเสริมพฤติกรรมผู้บริโภคที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้น

กระทรวงสิ่งแวดล้อมและป่าไม้ตระหนักถึงความจำเป็นของแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืน จึงได้ออกข้อบังคับหมายเลข 75/2019 ซึ่งมีเป้าหมายที่จะลดขยะพลาสติกลงร้อยละ 30 ภายในปี 2029 เพื่อตอบสนองต่อเรื่องนี้ BPOM จึงได้เปิดตัวโครงการ “ลดขยะบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอางด้วยการควบคุมเครื่องสำอางแบบเติมซ้ำ” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากกฎระเบียบหมายเลข 12/2023 ซึ่งทำให้แนวทางปฏิบัติด้านเครื่องสำอางแบบเติมซ้ำ (Refill) ถูกกฎหมาย

แม้จะมีความคืบหน้าดังกล่าว แต่แนวทางปฏิบัติด้าน CPKB ที่มีอยู่ซึ่งระบุไว้ในกฎระเบียบ BPOM หมายเลข 31/2020 ก็ไม่ได้กล่าวถึงความต้องการเฉพาะของแนวทางปฏิบัติด้านเครื่องสำอางแบบเติมซ้ำ คำจำกัดความของการผลิตครอบคลุมกิจกรรมทั้งหมดตั้งแต่การแปรรูปไปจนถึงการบรรจุหีบห่อ ซึ่งระบุว่าการเติมซ้ำและการจ่ายเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการผลิตและต้องปฏิบัติตาม GMP สำหรับเครื่องสำอาง

การปรับปรุงแนวทาง GMP ถือเป็นสิ่งสำคัญในการประกาศแนวทางปฏิบัติที่อนุญาตและข้อห้ามใช้ในภาคส่วนเครื่องสำอางแบบเติมซ้ำ พื้นที่สำคัญที่ต้องมีการควบคุม ได้แก่ วิธีการเติมซ้ำที่ได้รับอนุมัติ เช่น จุดเติมซ้ำในร้านและบริการระหว่างเดินทาง และข้อกำหนดการติดฉลากเฉพาะสำหรับผลิตภัณฑ์ที่เติมซ้ำได้ นอกจากนี้ ยังจำเป็นต้องกำหนดความรับผิดชอบต่อผลกระทบเชิงลบที่ผู้บริโภคอาจประสบ

หลายประเทศได้นำโครงการเครื่องสำอางแบบเติมซ้ำและแนวทาง GMP ที่เข้มงวดมาใช้เพื่อส่งเสริมความยั่งยืนได้สำเร็จ ตัวอย่างเช่น กฎระเบียบ (EC) ของสหภาพยุโรป หมายเลข 1223/2009 ได้กำหนดมาตรฐานสูงสำหรับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง เพื่อให้แน่ใจว่ามีความปลอดภัยและยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อม แบรนด์ต่างๆ เช่น Lush และ The Body Shop เป็นผู้บุกเบิกจุดเติมซ้ำและบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นตัวอย่างให้บริษัทในอินโดนีเซียนำมาปรับใช้

เกาหลีใต้ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของนวัตกรรมความงาม รัฐบาลได้ออกนโยบายเพื่อลดขยะพลาสติกและส่งเสริมผลิตภัณฑ์ที่เติมซ้ำได้ ซึ่งรวมถึงแรงจูงใจทางภาษีสำหรับบริษัทที่นำแนวทางปฏิบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้ และแคมเปญสร้างความตระหนักรู้แก่สาธารณชนเพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคเลือกทางเลือกที่ยั่งยืน

อินโดนีเซียสามารถเรียนรู้จากตัวอย่างของประเทศผู้นำระดับโลกเหล่านี้และปรับกฎระเบียบให้เหมาะสมกับบริบทในท้องถิ่นได้ การทำเช่นนี้จะทำให้อินโดนีเซียสามารถวางตำแหน่งตัวเองให้เป็นผู้นำด้านเครื่องสำอางที่ยั่งยืนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดึงดูดผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและนักลงทุนจากต่างประเทศได้

แง่มุมที่สำคัญของการเปลี่ยนแปลงนี้คือการให้ความรู้แก่ผู้บริโภค การรณรงค์เพื่อสร้างความตระหนักรู้ให้แก่สาธารณชนเกี่ยวกับประโยชน์ของการใช้เครื่องสำอางที่สามารถเติมใหม่ได้และแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนสามารถช่วยกระตุ้นความต้องการของผู้บริโภคในผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้ โรงเรียน องค์กรชุมชน และสื่อมวลชนมีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่แนวทางนี้ได้ รวมไปถึงความร่วมมือระหว่างรัฐบาล ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอุตสาหกรรม และองค์กรสิ่งแวดล้อมสามารถช่วยขยายการรับรู้ข้อมูลดังกล่าวให้มีระยะที่กว้างขึ้นได้ และในปัจจุบัน การจัดเวิร์กช็อป การรณรงค์ในโซเชียลมีเดีย และความร่วมมือกับอินฟลูเอนเซอร์สามารถเข้าถึงผู้คนในวงกว้างได้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นอย่างมาก ซึ่งจะช่วยส่งเสริมวัฒนธรรมและวิถีแห่งความยั่งยืน

แม้จะมีแนวโน้มที่ดี แต่ยังคงมีความท้าทายอยู่หลายประการ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางอาจเผชิญกับอุปสรรคทางการเงินและเทคนิคในการนำแนวปฏิบัติในการเติมใหม่มาใช้รวมไปถึงการปฏิบัติตามมาตรฐาน GMP ที่ปรับปรุงแล้ว รัฐบาลสามารถสนับสนุนธุรกิจเหล่านี้ผ่านการให้เงินทุนสนับสนุน เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ และโครงการช่วยเหลือทางเทคนิค นอกจากนี้ การตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีการปฏิบัติตามกฎระเบียบใหม่ยังต้องการกลไกการติดตามและบังคับใช้ที่มีประสิทธิภาพ BPOM (องค์การอาหารและยาอินโดนีเซีย) จำเป็นต้องมีทรัพยากรและการฝึกอบรมที่เพียงพอเพื่อดูแลการดำเนินการตามแนวปฏิบัติที่ยั่งยืนทั่วทั้งอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง

สรุปได้ว่า ในขณะที่อุตสาหกรรมเครื่องสำอางของอินโดนีเซียกำลังพัฒนาไปสู่ความยั่งยืน กรอบการกำกับดูแลจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเพื่อสนับสนุนและชี้นำการเปลี่ยนแปลงนี้ มาตรการเชิงรุกของ BPOM ในเรื่องนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการก้าวไปสู่อุตสาหกรรมเครื่องสำอางที่ยั่งยืนและมีความรับผิดชอบมากขึ้น โดยการปรับปรุงแนวทาง CPKB และส่งเสริมเครื่องสำอางที่สามารถเติมใหม่ได้ อินโดนีเซียสามารถเป็นตัวอย่างในการปฏิบัติที่ยั่งยืนในภูมิภาคนี้และมีส่วนร่วมในความพยายามระดับโลกในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยในอนาคต สิ่งที่จำเป็นคือต้องเกิดความร่วมมือระหว่างรัฐบาล ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอุตสาหกรรม และผู้บริโภค เพื่อให้มั่นใจถึงอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง

ความคิดเห็นของสำนักงาน

อุตสาหกรรมเครื่องสำอางของอินโดนีเซียเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญสู่ความยั่งยืน โดยการปรับปรุงกฎระเบียบ การสนับสนุน SMEs และการให้ความรู้แก่ผู้บริโภค อินโดนีเซียมีเป้าหมายที่จะวางตำแหน่งให้เป็นผู้นำด้านเครื่องสำอางที่ยั่งยืนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยความสามารถของอุตสาหกรรมในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะกำหนดความสำเร็จในอนาคตทั้งในตลาดในประเทศและต่างประเทศ

thThai