ภาพรวมอุตสาหกรรม

ข้อมูลจาก Euromonitor พบว่าตลาดอาหารแมวในสหรัฐอเมริกาปี 2567 มีมูลค่า 18,483.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโตจาก 16,779.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2566 หรือคิดเป็นร้อยละ 10.2 และคาดว่าตลาดอาหารแมวปี 2568 จะมีมูลค่า 19,701.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเติบโตร้อยละ 6.6 จากปี 2567 โดยผลิตภัณฑ์อาหารแมวในสหรัฐฯ สามารถแบ่งได้ ดังนี้

 

อุตสาหกรรมอาหารแมวในสหรัฐฯ

 

สำหรับช่องทางการจำหน่ายของอุตสาหกรรมอาหารแมวในสหรัฐฯ ปี 2567 เป็นการจำหน่ายผ่านช่องทางการค้าปลีกร้อยละ 98 และเป็นการขายผ่านคลินิกร้อยละ 2 สำหรับช่องทางการค้าปลีกแบ่งเป็นการขายผ่านช่องทางออฟไลน์ร้อยละ 62 และเป็นช่องทางออนไลน์ร้อยละ 36 ทั้งนี้ สำหรับช่องทางการจำหน่ายค้าปลีกแบบออฟไลน์ ผู้เลี้ยงแมวชาวอเมริกันส่วนใหญ่ซื้อจากไฮเปอร์มาร์เก็ต (Hypermarket) และซุปเปอร์มาร์เก็ตรวมร้อยละ 37

 

สถานการณ์อุตสาหกรรมอาหารแมวในสหรัฐฯ ปี 2567

โครงสร้างของประชากรสัตว์เลี้ยงในสหรัฐฯ เปลี่ยนแปลงไป

อาหารแมวในสหรัฐฯ ปี 2567 คาดว่าจะมีการเติบโตอย่างมั่นคงทั้งด้านมูลค่าและปริมาณ ไม่กี่ปีที่ผ่านมาผลิตภัณฑ์อาหารแมวได้รับความสนใจจากผู้ผลิตอย่างมาก ทำให้มีผลิตภัณฑ์สำหรับแมวใหม่ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมา ในสหรัฐฯ สุนัขถือเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของมนุษย์ ผู้ผลิตอาหารสัตว์ในสหรัฐฯ จึงลังเลที่จะขยายตลาดไปยังอาหารแมว เนื่องจากแมวมีการบริโภคน้อย มีนิสัยเลือกกิน และมีประชากรน้อย อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันประชากรแมวในสหรัฐฯ มีจำนวนเพิ่มขึ้นมากทำให้ตลาดผลิตภัณฑ์สำหรับแมวเติบโตมากขึ้น

 

ตัวอย่างของผู้ผลิตที่เริ่มเข้าอุตสาหกรรมอาหารแมว เช่น แบรนด์ Mars Temptations ได้เปิดตัวขนมสำหรับแมว นอกจากนี้ แบรนด์เล็กๆ ได้ดึงดูดเจ้าของสัตว์เลี้ยงโดยการใช้บรรจุภัณฑ์ที่แตกต่างและโดดเด่น เช่น บริษัท Weruva ได้ใช้บรรจุภัณฑ์ที่มีสีสันสดใสและเน้นย้ำว่าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผู้เลี้ยงแมว และแบรนด์ Tiki Cat ได้ใช้คำว่า “Born Carnivore Baby” แทนคำว่า “Kitten” อีกด้วย เพื่อตอบรับกระแสการให้ความสำคัญกับสัตว์เลี้ยงและเจาะกลุ่มผู้เลี้ยงสัตว์มือใหม่

 

อุตสาหกรรมอาหารแมวในสหรัฐฯ

 

นอกจากการทำการตลาดที่สร้างความสนุกสนานแล้ว ผู้ผลิตยังทำการตลาดโดยใช้คำว่า “โปรตีนสูง” “ส่วนผสมสด” หรือ “การปรุงในน้ำซุปอย่างพิถีพิถัน” เพื่อสร้างความแตกต่างจากผลิตภัณฑ์อาหารแมวแปรรูปสูง และคาดว่าผู้ผลิตอาหารแมวมีแนวโน้มที่จะต้องหาวิธีที่สร้างสรรค์ในการเข้าสู่ตลาดอาหารแมวที่กำลังเติบโตมากยิ่งขึ้น

 

เทรนด์ของบรรจุภัณฑ์ที่สร้างสรรค์และข้อจำกัดด้านงบประมาณ

ผลิตภัณฑ์อาหารแมวมีให้ผู้เลี้ยงเลือกมากขึ้น ซึ่งได้สร้างความกังวลเกี่ยวกับเรื่องการควบคุมน้ำหนักแมว ดังนั้น เพื่อตอบโจทย์ข้อกังวลดังกล่าว บริษัท Mars Petcare ผู้ผลิตอาหารแมวชนิดเปียกแบรนด์ Perfect Portions ได้นำเสนออาหารแมวที่สามารถแบ่งให้ 2 มื้อ ซึ่งบรรจุภัณฑ์ดังกล่าวได้ขยายไปใช้กับผลิตภัณฑ์อื่นของบริษัทอย่างต่อเนื่อง ทำให้เห็นความตระหนักเรื่องโรคอ้วนในสัตว์เลี้ยงเพิ่มมากขึ้น

 

ก่อนหน้านี้ผู้เลี้ยงแมวมีแนวโน้มซื้ออาหารแมวรสชาติเดิมๆ ที่แมวชื่นชอบ อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาผู้เลี้ยงแมวนิยมซื้ออาหารแมวแบบคละรสชาติเพื่อลดความเบื่อหน่ายของแมว นอกจากนี้ ขนาดบรรจุภัณฑ์ที่หลากหลายได้สร้างตัวเลือกที่มากขึ้นให้กับผู้เลี้ยงสัตว์โดยเฉพาะในช่วงเศรษฐกิจตึงตัว เช่น ถุงใหญ่จะมีราคาต่อหน่วยต่ำกว่า เป็นต้น นอกจากนี้ กระแสอาหารแมวแบบคละได้เปิดโอกาสให้กับอาหารแมวชนิดแห้งในการนำเสนอผลิตภัณฑ์แบบทดลองก่อนที่จะซื้อผลิตภัณฑ์ในปริมาณมากๆ เช่น แบรนด์ Boat to Bowl ได้เปิดตัวอาหารแมวแบบทดลองแบบคละรสชาติในบรรจุภัณฑ์ 3 ออนซ์ เป็นต้น

 

อุตสาหกรรมอาหารแมวในสหรัฐฯ

 

สินค้าระดับราคาพรีเมี่ยมยังคงเติบโตต่อเนื่อง

อาหารแมวชนิดเปียกเป็นตัวกระตุ้นการเติบโตของตลาดอาหารแมว โดยในปี 2565 อาหารแมวชนิดเปียกมีปริมาณการขายลดลงจากผลกระทบทางเศรษฐกิจ ในขณะที่อาหารแมวระดับราคาพรีเมี่ยมเพิ่มขึ้นเล็กน้อย อย่างไรก็ดี จากการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายโดยการลดราคาในปี 2566 ทำให้อาหารแมวชนิดเปียกมีปริมาณการขายเพิ่มขึ้น และอาหารแมวชนิดเปียกระดับราคาพรีเมี่ยมสำหรับแมวทั่วไป (Non-therapeutic) มีปริมาณการขายเติบโตสูงสุดในตลาดอาหารแมวชนิดเปียกในปี 2566 และคาดว่าแนวโน้มดังกล่าวจะยังคงอยู่ในปี 2567 ต่อไปด้วย

 

เมื่อกล่าวถึงการเติบโตของอาหารแมวระดับราคาพรีเมี่ยม ในปี 2565 ดูเหมือนว่าขนมแมวจะกลายเป็นอาหารหลักแทนที่จะเป็นอาหารว่าง ทำให้ปริมาณการขายของขนมแมวและส่วนผสมอาหารแมวปี 2567 เติบโตมากกว่าร้อยละ 10 ซึ่งสูงกว่าอาหารแมวชนิดแห้งและชนิดเปียก เนื่องจากแมวมีความต้องการอาหารในปริมาณน้อยประกอบกับความต้องการของอาหารแมวพร้อมรับประทานโดยไม่ต้องปรุงเติบโตขึ้น จึงทำให้การวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์โดยมีวัตถุประสงค์ที่หลากหลายที่สามารถเป็นทั้งขนมแมวและอาหารหลักได้สามารถดึงดูดผู้บริโภคได้มากกว่า นอกจากนี้ ผู้เลี้ยงแมวมีแนวโน้มจะใช้ขนมแมวและส่วนผสมอาหารแมวที่มีคุณภาพสูงมากกว่าอาหารเม็ด เนื่องจากแมวขี้เบื่อ มีความเลือกกินสูง และยังมีสารอาหารมากกว่าอาหารเม็ดด้วย

 

แนวโน้มและโอกาสของอุตสาหกรรมอาหารแมวในสหรัฐฯ

การทำการตลาดโดยการเล่นกับประสบการณ์ของผู้เลี้ยงและความเหมาะสมกับชีวภาพ

อาหารแมวในสหรัฐฯ มีแนวโน้มเติบโตทั้งในแง่ปริมาณและยอดขาย การตลาดของอาหารแมวกับอาหารสุนัขได้เล่นกับประสบการณ์ของเจ้าของสัตว์เลี้ยงแต่มีวิธีการสื่อสารที่แตกต่างกันระหว่างสุนัขและแมว เช่น การทำการตลาดอาหารสุนัข มักจะเน้นไปที่เจ้าของโดยมักจะใช้คำว่า “From pet owners for pet owners” เพื่อแสดงให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้คิดค้นมาจากประสบการณ์ของผู้เลี้ยงสุนัขที่ต้องการจะส่งต่อผลิตภัณฑ์ดีๆ ให้กับผู้เลี้ยงสุนัขอื่น ในขณะที่อาหารแมวทำการตลาดโดยการบอกว่า “From pets for pets” หมายถึงว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเป็นที่ชื่นชอบของแมวและคาดว่าแมวที่บ้านของผู้เลี้ยงก็จะชอบด้วย

 

ในขณะเดียวกันก็มีการส่งเสริมให้มีการให้อาหารแก่สัตว์เลี้ยงที่เหมาะสมกับชีวภาพ เช่น อาหารที่มีโปรตีนสูงที่เริ่มเติบโตในตลาดอาหารแมวเพิ่มขึ้น หรือการทำการตลาดโดยใช้คำว่า “อาหารเพื่อสุขภาพ” “ไฟเบอร์สูง” “อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ” เป็นต้น

 

การฟอกเขียวของธุรกิจ (Greenwashing)

ค วามต้องการในการบริโภคโปรตีนของสัตว์เลี้ยงที่มากขึ้นเป็นความท้าทายของกระบวนการผลิตที่มุ่งสู่ความยั่งยืน นอกจากผู้ผลิตจะต้องพยายามลดต้นทุนการผลิตแล้ว ผู้ผลิตยังได้พยายามปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อนำเสนอด้านความยั่งยืนให้แก่ผู้บริโภคด้วย เช่นเดียวกับผู้เลี้ยงสัตว์อื่นผู้เลี้ยงแมวได้ตระหนักถึงการเลี้ยงแมวที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคเริ่มตระหนักถึงการฟอกเขียว (Greenwashing) หรือการให้ข้อมูลที่แสดงความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของธุรกิจที่เกินความเป็นจริง จากการที่ผู้ผลิตใช้คำที่คลุมเครือในการกล่าวอ้างว่าเป็นเส้นทางที่มุ่งไปสู่ความยั่งยืนเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจในเรื่องคุณภาพของผลิตภัณฑ์ และคาดว่าเจ้าของสัตว์เลี้ยงจะเรียกร้องให้ผู้ผลิตเปิดเผยข้อมูลสนับสนุนที่ชัดเจนของคำกล่าวอ้างดังกล่าวมากขึ้น เช่น ผู้เลี้ยงสัตว์อยากให้มีการตรวจสอบย้อนกลับมากกว่าคำกล่าวอ้างว่า “วัตถุดิบมาจากแหล่งที่มาที่ยั่งยืน” แม้ว่าผู้บริโภคจะไม่ทราบแหล่งที่มาของวัตถุดิบทั้งหมด แต่ผู้ผลิตก็พยายามชี้แจงบนฉลากเพื่อสื่อสารกับผู้เลี้ยงแมว เช่น “เนื้อแกะจากนิวซีแลนด์” “เป็ดจากแคนาดาที่เลี้ยงแบบอิสระ” เป็นต้น

 

ขนมแมวและส่วนผสมอาหารแมวยังมีโอกาสเติบโต

ผู้เลี้ยงแมวยินดีที่จะใช้จ่ายกับผลิตภัณฑ์สำหรับแมวเพื่อตอบสนองความต้องการของสัตว์เลี้ยง และผู้เลี้ยงแมวยังเปิดใจที่จะลองสินค้าใหม่เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับแมว โดยเฉพาะขนมแมวและส่วนผสมอาหารแมวที่ใช้ผสมกับมื้ออาหารหลักเพื่อให้แมวมีความอยากอาหารมากขึ้น ซึ่งแม้ว่าแมวมีต่อมรับรสที่อ่อนไหวที่ยากต่อการผลิตอาหารให้เป็นที่ต้องการ ซึ่งผู้ผลิตอาหารแมวต่างลังเลที่จะเข้ามาในอุตสาหกรรม แต่อุตสาหกรรมอาหารแมวยังมีพื้นที่อีกมากในการเติบโต

 

ข้อเสนอแนะของสคต. นิวยอร์ก

อุตสาหกรรมอาหารแมวในสหรัฐฯ กำลังเติบโตเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสินค้าประเภทขนมแมวและส่วนผสมอาหารแมวที่ใช้เป็นสิ่งจูงใจแมวในการกินอาหารหลัก นอกจากนี้ บรรจุภัณฑ์ที่มีสีสันสดใสจะช่วยดึงดูดความสนใจจากผู้เลี้ยงแมวมากขึ้น ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยและผู้ส่งออกไทยอาจพิจารณาผลิตผลิตภัณฑ์อาหารแมวที่สามารถเป็นได้ทั้งขนมแมวและอาหารหลักมากขึ้นพร้อมกับมีระบบตรวจสอบย้อนกลับเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้เลี้ยงแมวว่าเป็นสินค้าที่มาตรฐานและมีกระบวนการผลิตที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมด้วย

 

ข้อมูลอ้างอิง: Euromonitor

thThai