ที่มา : สำนักข่าว Bernama
มาเลเซียยังคงเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนทั่วโลก แม้จะเผชิญกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 สามารถดึงดูดการลงทุนได้สูงถึง 160 พันล้านริงกิต ตามรายงานของ Tengku Datuk Seri Zafrul Abdul Aziz รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการลงทุน การค้า และอุตสาหกรรม (MITI)
การลงทุนดังกล่าวครอบคลุมทั้งภาคบริการ การผลิต และภาคปฐมภูมิ โดยมาจากโครงการทั้งสิ้น 2,948 โครงการ ซึ่งคาดว่าจะสร้างโอกาสการจ้างงานใหม่ประมาณ 79,187 ตำแหน่ง นับเป็นการเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 18 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลมาเลเซียในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำธุรกิจ
ภาคการผลิตเป็นดาวเด่นในการลงทุนครั้งนี้ ด้วยมูลค่า 60.1 พันล้านริงกิต เพิ่มขึ้นร้อยละ 34.1 จากปีก่อน แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ การลงทุนในประเทศมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 53.4 คิดเป็นมูลค่า 85.4 พันล้านริงกิต ขณะที่การลงทุนจากต่างประเทศมีมูลค่า 74.6 พันล้านริงกิต หรือร้อยละ 46.6
รัฐที่ดึงดูดการลงทุนได้มากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กัวลาลัมเปอร์ เซลังงอร์ เคดาห์ ปีนัง และยะโฮร์ สำหรับการลงทุนจากต่างประเทศ ออสเตรียเป็นผู้นำด้วยมูลค่า 30.1 พันล้านริงกิต ตามมาด้วยสิงคโปร์ จีน เนเธอร์แลนด์ และไต้หวัน รัฐบาลมาเลเซียมุ่งมั่นที่จะใช้ประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียน ซึ่งคาดว่าจะเติบโตร้อยละ 4.6 ในปี 2567 และร้อยละ 4.7 ในปี 2568 ผ่านกรอบยุทธศาสตร์ต่างๆ เช่น แผนแม่บทอุตสาหกรรมใหม่ 2573 ยุทธศาสตร์สารกึ่งตัวนำแห่งชาติ และยุทธศาสตร์การลงทุนสีเขียว
MITI และสำนักงานพัฒนาการลงทุนมาเลเซีย (MIDA) จะยังคงส่งเสริมให้มาเลเซียเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนคุณภาพสูง เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และสร้างงานที่ต้องใช้ทักษะสำหรับชาวมาเลเซีย ผลการลงทุนที่แข็งแกร่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของนโยบายดึงดูดการลงทุนของมาเลเซีย และความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศต่อศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ
บทวิเคราะห์ผลกระทบ
การเติบโตอย่างแข็งแกร่งของการลงทุนในมาเลเซียในครึ่งแรกของปี 2567 ส่งผลกระทบที่สำคัญต่อภูมิภาคอาเซียนและประเทศไทย ความสำเร็จของมาเลเซียในการดึงดูดการลงทุนจำนวนมากอาจส่งผลให้เกิดการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศในภูมิภาคอาเซียน ประเทศไทยอาจต้องพิจารณาปรับปรุงนโยบายและมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน อย่างไรก็ตาม การเติบโตทางเศรษฐกิจและการลงทุนในมาเลเซียอาจสร้างโอกาสใหม่ๆ สำหรับบริษัทไทยในการขยายธุรกิจหรือเข้าสู่ตลาดมาเลเซีย โดยเฉพาะในภาคการผลิตและบริการที่เกี่ยวข้อง
การลงทุนจำนวนมากในภาคการผลิตของมาเลเซียอาจนำไปสู่การพัฒนาและเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานในระดับภูมิภาค ซึ่งอาจส่งผลดีต่อผู้ผลิตและซัพพลายเออร์ไทยที่สามารถเชื่อมต่อกับห่วงโซ่คุณค่าเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม การสร้างงานใหม่จำนวนมากในมาเลเซียอาจส่งผลให้เกิดการแข่งขันด้านแรงงานทักษะในภูมิภาค โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ต้องการทักษะสูง ประเทศไทยอาจต้องเร่งพัฒนาทักษะแรงงานเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นและป้องกันการสูญเสียแรงงานทักษะให้กับประเทศเพื่อนบ้าน นอกจากนี้ ความสำเร็จของมาเลเซียในการดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น อุตสาหกรรมสารกึ่งตัวนำและการลงทุนสีเขียว อาจเป็นบทเรียนสำหรับประเทศไทยในการพัฒนายุทธศาสตร์และนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมายของตนเอง
ความคิดเห็น สคต.
สคต. มีความเห็นว่าประเทศไทยควรมองหาโอกาสในการเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับมาเลเซีย โดยเน้นการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานร่วมกันและการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี นอกจากนี้ การพัฒนาทักษะแรงงานเชิงรุกในด้านดิจิทัลและเทคโนโลยีขั้นสูงยังเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเป้าหมายเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทย ควรส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศของบริษัทไทยให้มากขึ้น พร้อมทั้งพัฒนาระบบนิเวศธุรกิจและโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเพื่อดึงดูดการลงทุน การติดตามแนวโน้ม
การลงทุนในมาเลเซียและภูมิภาคอาเซียนจะช่วยให้ไทยสามารถวางแผนเชิงกลยุทธ์ได้ทันสถานการณ์
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์