วันที่ 1 ตุลาคม 2567 พนักงานขนถ่ายสินค้าที่ท่าเรือ (dockworkers) ประมาณ 45,000 นาย ที่เป็นสมาชิก International Longshoremen’s Association (ILA) ที่ท่าเรือ 36 แห่ง บนฝั่งตะวันออกและบนอ่าวภาคใต้สหรัฐฯ รวม 14 มลรัฐ ตั้งแต่รัฐเมนถึงรัฐเท๊กซัส ได้หยุดงานสไตร์ค เมื่อสัญญาจ้างงานหมดอายุลงในเวลาเที่ยงคืนของวันที่ 30 กันยายน 2567 หลัง จากไม่ประสบความสำเร็จในการเจรจาต่อรองต่อสัญญากับ United States Maritime Alliance (USMX) ตัวแทนของท่าเรือต่างๆ โดย ILA ต้องการสัญญาที่เป็นธรรมกับแรงงาน ด้วยการเรียกร้องขอขึ้นเงินค่าจ้างร้อยละ 77

 

ในระยะเวลาอายุสัญญานาน 6 ปี แต่ USMX เสนอขึ้นค่าจ้างเพียงร้อยละ 50 แต่จะเพิ่มเงินสนับสนุน (contribution) ให้ กับแผนการเกษียณและเพิ่มทางเลือกผลประโยชน์ด้านการประกันสุขภาพ และ ILA ยื่นข้อเสนอขอการคุ้มครองแรงงานจากการถูกแทนที่ด้วยระบบ automation ด้วยการให้ยุติการนำเข้า automation มาใช้โดยสิ้นเชิง แต่ USMX เสนอให้ยังคงนำระบบ automation แบบจำกัดเหมือนที่กำหนดไว้ในสัญญาเดิมแต่การเจรจาต่อรองอย่างเป็นทางการระหว่าง ILA และUSMX ครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นในเดือนมิถุนายน 2567 USMX คาดหวังว่าจะมีการเจรจาต่อรองกันอีก ขณะที่ ILA แสดงท่าทีชัดเจนว่าจะต่อสู้อยู่ต่อไปจนกว่าจะได้ข้อเสนอที่ต้องการการสไตร์คเกิดขึ้นผิดเวลาคือก่อนหน้าการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่เพียง 5 สัปดาห์ อาจส่งผลต่อความ  สามารถที่รัฐบาลกลางจะยื่นมือเข้าไปแทรกแซงยุติการสไตร์และการแก้ไขบรรเทาสถานการณ์ติดขัดของระบบห่วงโซ่อุปทาน ปัจจุบันผู้ค้าปลีกสินค้าชิ้นส่วนรถยนต์และผู้นำเข้าพืชผลไม้สดได้ร้องขอให้ประธานาธิบดี Joe Biden เข้าแทรกแซงและ

 

นำกฎหมาย Taft-Hartley Act มาใช้บังคับให้ทั้งสองฝ่ายเข้าสู่ระยะเวลา cooling off นาน 80 วัน ตามที่กฎหมายเปิดโอกาสให้ อย่างไรก็ดี แม้ว่าประธานาธิบดี Joe Biden จะประสานการเจรจาต่อรองระหว่าง ILA และ USMX อย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด แต่เขากลับปฏิเสธที่จะใช้กฎหมาย Taft-Hartley Act เข้าไปแทรกแซงการสไตร์คในครั้งนี้ โดยให้เหตุผลว่าไม่เชื่อในประสิทธิผลของกฎหมาย Taft-Hartley Act

 

ผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการสไตร์คของพนักงานขนถ่ายสินค้าที่ท่าเรือในครั้งนี้ คือ

1. J.P. Morgan ประเมินว่า การสไตร์คครั้งนี้จะส่งผลกระทบในทางลบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯระหว่าง 3.8 ถึง 4.5 พันล้านเหรียญฯ ต่อวัน

 

2. ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นโดยทันทีกับการนำเข้าอุปทานสินค้าที่เน่าเสียได้ (perishable goods) ข้อมูลจาก American Farm Bureau Federation ระบุว่า ในแต่ละปี ท่าเรือที่กำลังเกิดการสไตร์คเป็นทางผ่านเข้าออกของกล้วยประมาณ 3.8 ล้านเมตริกตัน หรือร้อยละ 75 ของอุปทานกล้วยรวมทั้งสิ้นในตลาดสหรัฐฯ

 

3. ปัญหาที่ท่าเรือบนฝั่งตะวันออก จะทำให้เกิดการย้ายการขนส่งสินค้าไปที่ท่าเรือบนฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯ ที่พนักงานไม่ได้เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานเดียวกันกับพนักงานที่ท่าเรือบนฝั่งตะวันออก ซึ่งจะส่งผลกระทบที่เป็นการขนถ่ายสินค้าที่เพิ่มมากขึ้นกว่าปกติที่อาจนำไปสู่การติดขัดของการทำงานที่ท่าเรือบนฝั่งตะวันตก นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อระบบการขนส่งทางรถไฟที่ท่าเรือบนฝั่งตะวันตก ที่แม้ว่าภาคธุรกิจการขนส่งทางรถไฟในแคลิฟอร์เนียจะเตรียมพร้อมที่จะเพิ่มความสามารถในการขนสินค้า แต่อย่างไรก็จะไม่สามารถเข้าไปบรรเทาความรุนแรงในระบบห่วงโซ่อุปทานที่เป็นผลมาจากการปิดท่าเรือบนฝั่งตะวันออกได้

 

ผลกระทบต่อผู้บริโภคในทันทีทันใดอาจจะไม่มี เพราะผู้ค้าปลีกส่วนใหญ่ได้สะสมสต๊อกสินค้าไว้แล้ว และมีการนำเข้าสินค้าสำหรับเทศกาลปลายปีล่วงหน้าแล้ว

 

หากการสไตร์คยังคงดำเนินอยู่ต่อไปนานเกินสองสามสัปดาห์ขึ้นไป ความวุ่นวายจะเกิดกระจายไปทั่วทุกภาค อุตสาหกรรมและระบบห่วงโซ่อุปทานสหรัฐฯ โดยผลกระทบจะดำเนินไปจนถึงปี 2568 การจัดส่งสินค้าทั่วระบบห่วงโซ่อุปทานจะล่าช้าเป็นอย่างมาก ผู้บริโภคทั่วไปและผู้บริโภคในภาคธุรกิจจะเผชิญกับราคาสินค้าที่พุ่งสูงขึ้นและความล่าช้าที่จะได้รับสินค้าที่ต้องการ

 

สินค้าหลายรายการอาจจะมาถึงสหรัฐฯไม่ทันการขายในช่วงเทศกาลปลายปี

 

การสไตร์คจะทำให้การจัดส่งสินค้าต้องล่าช้าออกไปและจะบีบภาคธุรกิจให้ต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้นแก่ผู้ขนส่งสินค้า (shipper)

 

ที่มา: AP: “Dockworkers at ports from Maine to Texas go on strike, a standoff risking new shortages”, by Tom Krisher and Tassanee Vejpongsa, October 1, 2024

 

ข้อมูลเพิ่มเติมและข้อคิดเห็น สคต ลอสแอนเจลิส
การแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 47 กำลังเข้มข้น การเลือกตั้งที่กำหนดในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 อาจเป็นหนึ่งในเงื่อนไขที่ทำให้ฝ่ายบริหารรัฐบาลประธานาธิบดี Joe Biden สงวนท่าทีที่จะเข้าไปแทรกแซงการสไตร์คในครั้งนี้ อย่างเข้มงวดและมีแนวโน้มที่จะปล่อยให้สหภาพแรงงานสไตร์คตามที่ต้องการ โดยอ้างว่าเขาไม่เชื่อในประสิทธิผลของกฎหมาย Taft-Hartley Act แต่มีความเป็นไปได้ว่าพรรคดิโมรแครตไม่ต้องการเป็นศัตรูกับสมาชิกสหภาพแรงงานสหรัฐฯที่มีจำนวนกว่า 16 ล้านคน ที่จะลงคะแนนเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีคนที่แสดงให้เห็นว่าสนับสนุนสหภาพ

 

ปกติแล้วในการสไตร์คแต่ละครั้งนี้สหภาพแรงงานจะระบุชัดเจนว่า จะไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการขนส่งของกองทัพ และเรือสำราญ แต่ในครั้งนี้ ILA ไม่ได้ระบุยกเว้นเงื่อนไขนี้ ดังนั้น การสไตร์คอาจจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์สู้รบในตะวันออกกลางและยุโรปที่กำลังเข้มข้น ที่แน่นอนคือจะส่งผลกระทบทำให้ประมาณครึ่งหนึ่งของการค้าในสหรัฐฯเป็นอัมพาต

ท่าเรือสำคัญของสหรัฐฯพิจารณาจากจำนวนตู้สินค้าที่ผ่านเข้าออกในปี 2024 เรียงตามลำดับคือ

  1. Port of Los Angeles, CA
  2. Port of Long Beach, CA
  3. Port of New York and New Jersey, New York & New Jersey สไตร์ค
  4. Port of Savannah, GA สไตร์ค
  5. Port of Virginia, VA สไตร์ค
  6. Port of Houston, TX สไตร์ค
  7. Port of Charleston, SC สไตร์ค
  8. Port of Oakland, CA
  9. Port of Tacoma, WA
  10. Port of Seattle, WA
  11. Port of Jacksonville, FL สไตร์ค
  12. Port Miami, FL สไตรค์
  13. Port of San Juan, PR
  14. Honolulu, O’ahu, HI
  15. Baltimore, MD สไตรค์
  16. Port Everglades, FL สไตรค์
  17. Philadelphia Regional Port, PA สไตรค์
  18. Mobile, AL สไตรค์
  19. Port of Alaska in Anchorage, AK
  20. Port of New Orleans, LA สไตรค์

 

ประมาณร้อยละ 40 ของสินค้านำเข้าสหรัฐฯ ผ่านท่าเรือบนฝั่งตะวันออกและบนอ่าวทางภาคใต้ของสหรัฐฯ สินค้าที่จะได้รับผลกระทบอย่างมากเพราะเป็นสินค้าหลักที่ขนถ่ายที่ท่าเรือเหล่านี้ คือ

 

1. สินค้าที่ขนถ่ายขึ้นที่ท่าเรือบนฝั่งตะวันออกมากกว่าฝั่งตะวันตก ได้แก่ เครื่องจักรกล ยานยนต์ เฟอร์นิเจอร์ พลาสติก เสื้อผ้า (knitted) fabricated steel, precision instruments, เสื้อผ้า (non-knitted๗)

 

2. จุดขนถ่ายร้อยละ 68 ของตู้สินค้าส่งออกและร้อยละ 56 ของตู้สินค้านำเข้า หรือประมาณมากกว่า 13 ล้านตู้สินค้าต่อปี มูลค่าการค้าที่ผ่านเข้าออกที่ท่าเรือเหล่านี้มากกว่า 2.1 พันล้านเหรียญฯต่อวัน

 

3. เป็นจุดผ่านเข้าออกสำคัญของ
(1) สินค้าเวชภัณฑ์: มากกว่าร้อยละ 91 ของการนำเข้า และมากกว่าร้อยละ 69 ของการส่งออก
(2) สินค้ารถยนต์: มากกว่าร้อยละ 76 ของการส่งออก และมากกว่าร้อยละ 54 ของการนำเข้า
(3) สินค้าอากาศยานและอวกาศยาน: มากกว่าร้อยละ 77 ของการส่งออก และเกินร้อยละ 51 ของการนำเข้า

 

4. การขนส่งสินค้านำเข้าที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด ส่วนใหญ่จะเป็นสินค้านำเข้าจากยุโรป เช่น
(1) สินค้าอาหารที่เน่าเสียได้ (perishable food)
(2) สินค้าชิ้นส่วนรถยนต์
(3) สินค้าเวชภัณฑ์

 

ผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานสหรัฐฯ
1. บริษัทเดินเรือ Sea-Intelligence ประมาณการณ์ว่าจะต้องใช้เวลา 4 – 6 วันในการเคลียร์สินค้าที่ตกค้างอยู่จากการสไตรค์ 1 วัน และการสไตรค์นาน 2 สัปดาห์จะส่งให้ท่าเรือไม่สามารถกลับสู่สภาวะปกติได้ไปจนถึงปี 2025 บริษัทเดินเรือ Maersk ออกมาเตือนว่า การสไตรค์อาจส่งผลให้ต้องใช้เวลาในนานถึง 4 – 6 สัปดาห์ในการฟื้นฟูการขนส่งสินค้าที่ตกค้างอยู่จากการสไตรค์เพียงแค่สัปดาห์เดียว

 

2. จะก่อให้เกิดสภาวะขาดแคลนตู้ว่างสำหรับขนส่งสินค้า ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

 

3. ท่าเรือบนฝั่งตะวันตก ที่เป็นเส้นทางหลักในการค้ากับประเทศผู้ส่งออกในเอเซีย รวมถึงประเทศไทย จะได้รับผลกระทบ เมื่อสินค้านำเข้าถูกย้ายมาขึ้นที่ท่าเรือบนฝั่งตะวันตกแทน จะทำให้เกิดการติดขัดในการค้ากับประเทศคู่ค้าในเอเซีย  เวลาและค่าใช้จ่ายในการขนส่งจะเพิ่มสูงตามไปด้วย ที่สำคัญคือ มีกระแสข่าวว่า พนักงานขนถ่ายสินค้าที่ท่าเรือบนฝั่งตะวันตกแสดงท่าทีว่า ไม่ต้องการขนส่งสินค้าที่มีปลายทางที่ท่าเรือบนฝั่งตะวันออกและหากถูกบังคับให้ทำก็จะ walk out ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงจะทำให้สถานการณ์ต่างๆเลวร้ายมากขึ้น และผลกระทบต่อการขนส่งสินค้าจากประเทศไทยจะเพิ่มมากขึ้น

 

ผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศคือค่าใช้จ่ายจะเพิ่มสูงขึ้น ในวันที่ 1 ตุลาคม 2567 ราคาค่าส่งสินค้าจากประเทศในตะวันออกไกลไปยังฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯ ประมาณ 7,000 เหรียญฯต่อ FEU-Forty Feet Unit (40ฟุต ตู้สินค้า) ราคาค่าส่งสินค้าจากประเทศในยุโรปเหนือไปยังฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯ 2,800 เหรียญฯต่อ FEU บริษัทขนส่งสินค้าระบุว่า การสไตรค์ และผลพวงจากเฮอริเคน Helene ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นในพื้นที่ใกล้เคียงท่าเรือที่กำลังสไตร์คอาจทำให้ค่าขนส่งเข้าสู่สหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้น

 

หมายเหตุ: ข่าวข้างบนนี้เป็นข้อมูลที่ได้มาจากแหล่งข้อมูลหลายแห่งที่จัดทำและนำเสนอข้อมูลเปิดเผยต่อสาธารณชนทั่วไป และบางส่วนเป็นความเห็นส่วนบุคคล สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครลอสแอนเจลิส นำมารวบรวมเผยแพร่เพื่อแก่ผู้สนใจ เนื่องจากเป็นข้อมูลและความเห็นจากบุคคลที่สาม การนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ ไม่ว่าในกรณีใดๆ ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณเฉพาะบุคคล สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครลอสแอนเจลิส ไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายใดๆที่อาจเกิดขึ้นจากการนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ 

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครลอสแอนเจลิส | ตุลาคม 2567

thThai