Cox Automotive บริษัททำธุรกิจการตลาดรถยนต์ในสหรัฐฯ รายงานยอดขายรถยนต์ใหม่ที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้าในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 จำนวน 338,844 คัน เพิ่ม ขึ้นจากระยะเวลาเดียวกันของปี 2566 ร้อยละ 8 และคิดเป็นส่วนแบ่งเกือบร้อยละ 9 ของยอดขายรถยนต์ใหม่ทุกชนิดรวมทั้งสิ้น Cox Automotive คาดการณ์ว่ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้ารวมทั้งสิ้นในปี 2567 ที่ 1.3 ล้านคัน เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ร้อยละ 1.2

 

รถยนต์ไฟฟ้ามือสอง มียอดขายเติบโตรวดเร็วที่สุด ยอดขายในไตรมาสที่ 3 ประมาณ 78,000 คัน มากกว่าระยะเวลาเดียวกันของปี 2566 ร้อยละ 69 ทั้งนี้รถ Tesla Model 3 และ Tesla Model Y มีราคาขายลดลงมากที่สุด

 

เงื่อนไขสำคัญสนับสนุนการเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า คือ ผลประโยชน์ที่ผู้บริโภคสหรัฐฯอาจได้รับจากรัฐบาลกลางสหรัฐฯ และรัฐบาลมลรัฐ และจากผู้ผลิต/ผู้ค้าปลีก ที่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ไม่ว่าจะรุ่นใด กล่าวคือ

การได้รับการลดราคาหรือ Debate ทันทีที่มีการจ่ายชำระเงิน ในอัตราประมาณร้อยละ 13.3 ของราคาเฉลี่ยของรถยนต์ไฟฟ้า สูงอัตราที่จะได้รับจากการซื้อรถยนต์สันดาปปกติทั่วไปประมาณร้อยละ 80

 

ผู้บริโภคที่ “เช่าซื้อ – lease” จะมีคุณสมบัติทันทีที่จะได้รับ tax credit หรือการนำค่าซื้อรถยนต์ไฟฟ้าไปหักภาษีปลายปีจากรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ได้สูงสุดที่ 7,500 เหรียญฯ ซึ่งหมายถึงเงินงวดค่าเช่าซื้อที่ต้องจ่ายชำระในแต่ละเดือนจะลดลง

 

ผู้บริโภคที่เลือกที่จะ “ซื้อ-buy” รถยนต์ไฟฟ้า จะได้รับผลประโยชน์ tax credit เช่นกัน แต่อยู่ภายใต้เงื่อนไข เช่น รถยนต์คันดังกล่าวต้องผลิตในประเทศในทวีปอเมริกาเหนือ ราคาอยู่ภายใต้กรอบที่กำหนด และแหล่งที่มาของแบตเตอรี่ต้องเป็นไปตามข้อบังคับต่างๆที่กำหนดไว้

 

เงื่อนไขที่ขัดขวางการเติบโตอย่างรวดเร็วของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า คือ ราคาที่เฉลี่ยประมาณ 56,574 เหรียญฯต่อคัน (ราคาในเดือนสิงหาคม 2567) สูงกว่ารถยนต์สันดาปโดยทั่วไปอย่างมาก

 

ปัจจุบันรถยนต์ไฟฟ้าที่มียอดขายเติบโตในสหรัฐฯไม่ใช่แบรนด์ Tesla แต่เป็นแบรนด์ General Motors และ Kia บริษัท Cox Automotive ระบุยอดขาย Tesla ในแต่ละไตรมาสจะลดลงในอัตราร้อยละ 7 ในไตรมาสที่ 1 และ 2 ในปี 2567 ลดลงจากระยะเวลาเดียวกันของปี 2566 ยอดขายในไตรมาสที่ 3 ปี 2567 ที่ 152,829 คันลดลงจากไตรมาสที่ 2 ประมาณ 11,435 คันยอดขาย Tesla Tesla รุ่น Model 3 และ Model Y ที่เคยเป็นรุ่นทำเงินของ Tesla มียอดขายในไตรมาสที่ 3 ลดลง ยอดขาย Tesla Cybertruck pickup แสดงแนวโน้มเติบโตและเป็นรถ pickup ที่มียอดขายสูงสุดในไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 ทั้งนี้ราคาขายปัจจุบันของ Tesla Cybertruck pickup ตกคันละมากกว่า 100,000 เหรียญฯ

 

ปัจจุบันยอดขาย Tesla ยังคงสูงกว่ารถยนต์ไฟฟ้าจากโรงงานผลิตใดๆในสหรัฐฯ และยังคงมีส่วนแบ่งในตลาดสูงสุด แต่ยอดขายและส่วนแบ่งตลาดกำลังแสดงแนวโน้มลดลง สาเหตุหลักมาจากการนโยบายของ Tesla เอง ที่เน้นให้ความสำคัญกับรถ Model 3 และ Model Y มากจนเกินไป แต่ในแต่ละปีกลับมีการปรับปรุงรูปโฉมของรถในระดับต่ำ สาเหตุภายนอก คือ (1) แข่งขันในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของสหรัฐฯมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นต่อเนื่องปัจจุบันมีรถยนต์ไฟฟ้าหลายแบรนด์ หลายรุ่น หลายปฏิบัติการ และหลายระดับราคาออกสู่ตลาดสหรัฐฯอย่างต่อเนื่อง  (2) ความไม่มั่นคงของสภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯส่งผลกระทบต่อรถยนต์ราคาแพง และ (3) เทคโนโลยี่รถยนต์ไฟฟ้าที่ยังคงมีข้อบกพร่องอยู่หลายประการ

 

แม้ว่ายอดขาย Tesla จะแสดงแนวโน้มลดลง แต่ความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐฯยังคงเติบโต มีการวิเคราะห์ว่า Tesla มีภาพลักษณ์ว่า คือ ตัวแทนของรถยนต์ไฟฟ้าสหรัฐฯ จึงนำไปสู่ความเชื่อที่ว่า ความสำเร็จของ Tesla จะมีผลกระทบสูงกับระดับโอกาสการเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าสหรัฐฯ

 

ที่มา: INSIDEEVs: “Tesla Sales Slump Won’t Stop Record U.S. EV Sales in Q3”, by Tim Levin, September 26, 2024

 

ข้อมูลเพิ่มเติมและข้อคิดเห็น สคต ลอสแอนเจลิส

ภาพรวมตลาดรถยนต์ไฟฟ้าสหรัฐฯ:

 

1. ประมาณการณ์ว่าในปี 2023 สหรัฐฯมีรถยนต์ 286 ล้านคัน ร้อยละ 9.3 เป็นรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูง
เป็นประวัติการณ์

 

2. รัฐที่ใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากที่สุด (สัดส่วนร้อยละของการใช้ทั้งประเทศ) ได้แก่ California (26%) District of Columbia (19.6%), Washington (18.8%), Oregon (15.4%), Colorado (15.1%), New Jersey (13.6%), Nevada (13.2%) และ Massachusetts (12%)

 

3. มีบริษัทรถยนต์ไฟฟ้า 21 บริษัทที่วางจำหน่ายสินค้าในสหรัฐฯ (Tesla, Ford, Hyundai, Mercedes-Benz, Rivian, Kia, Chevrolet, Cadillac, BMW, Volkswagen, Nissan, Toyota, Audi, Lexus, Subaru, GMC, Volvo, Genesis, Porche, Lucid และ Polestar บริษัทที่มีส่วนแบ่งตลาดมากที่สุดในสหรัฐฯ ในระยะ 5 เดือนแรกขอปี 2024 คือ Tesla (52.30%) Ford (8.20%) Hyundai (5.40%) Mercedes Benz (4.60%) และ Rivian (4.20%)

 

4. ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในตลาดสหรัฐฯเริ่มเติบโตในปี 2020 ในปี 2023 ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าประมาณ 1.6 ล้านคัน เพิ่มขึ้นจากปี 2022 ร้อยละ 60

 

สคต . ลอสแอนเจลิสคาดการณ์เงื่อนไขต่างๆที่กำลังสนับสนุนการเติบโตของความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าในตลาดสหรัฐฯ เช่น

 

1. การเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดเจนของสภาวะสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อสภาวะอากาศ ที่ผู้บริโภคสหรัฐฯ กำลังเผชิญหน้า ส่งผลเป็นความวิตกกังวลและความสนใจต่อการลดมลภาวะพิษต่างๆ รวมถึงมลภาวะเสียจากการปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ของรถยนต์สันดาบ ที่เชื่อกันว่าเป็นตัวการเร่งทำลายสภาวะสิ่งแวดล้อมและสภาวะอากาศ จึงทำให้เกิดความสนใจและมีความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น

 

2. เทคโนโลยี่ก้าวหน้าที่เข้าสู่ตลาดแล้ว จะยังคงดำรงอยู่ต่อไป

 

3. ความก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้งทางเทคโนโลยี่การผลิตรถยนต์และการผลิตแบตเตอรี่ ส่งผลให้รถยนต์ไฟฟ้าประสิทธิภาพและปฏิบัติการที่สูงต่อเนื่อง ที่ทำให้ราคาสินค้ามีแนวโน้มลดลง และระยะทางเดินรถต่อการชาร์ตไฟหนึ่งครั้ง เพิ่มสูงขึ้น

 

4. รถยนต์ไฟฟ้ามีการออกแบบและปฏิบัติการหลายอย่างที่รถยนต์สันดาปไม่มี ที่สร้างความสนใจให้ผู้บริโภค เช่น รูปแบบแปลกตาที่แสดงถึงภาพลักษณ์ในอนาคต เครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ และเครื่องยนต์ที่เงียบ เป็นต้น

 

5. มีการจูงใจทางด้านเศรษฐกิจ กล่าวคือ ในระยะเวลาการใช้นาน 5 ปี ค่าใช้จ่ายในการใช้รถยนต์ไฟฟ้าจะน้อยกว่าค่าใช้จ่ายในการใช้รถยนต์สันดาปประมาณ 3,000 เหรียญฯ

 

6. ความไม่มั่นคงของอุปทาน ระบบห่วงโซ่อุปทาน และราคาน้ำมันปิโตรเลียม ที่สหรัฐฯเน้นพึ่งพาแหล่งวัตถุดิบนอกประเทศเป็นสำคัญ แม้ว่าสหรัฐฯจะมีแหล่งน้ำมันของตนเอง แต่มีนโยบายต่างๆของภาครัฐและการต่อต้านจากผู้บริโภคที่ไปจำกัดการขยายการขุดเจาะเอาน้ำมันขึ้นมาใช้

 

7. ทั้งรัฐบาลกลางและรัฐบาลมลรัฐมีการจัดทำกฎหมาย นโยบาย และโปรแกรมจำนวนมากที่สนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้า เช่น

(1) การให้  tax credit
(2) การให้สิทธิพิเศษในการใช้รถใช้ถนน ที่รถยนต์สันดาปไม่ได้รับ

(3) การให้การสนับสนุนทางการเงินเพื่อเพิ่มสร้างสถานีเติมไฟฟ้าสาธารณะขึ้นเป็นจำนวนมากทั่วสหรัฐฯ และการให้ tax credit กับการสร้างระบบไฟฟ้าเพิ่มในครัวเรือนสำหรับใช้ในการชาร์ตรถยนต์ไฟฟ้า

 

8. กฎหมาย Clean Air Act ที่รัฐบาลกลางสหรัฐฯได้จัดทำขึ้นโดยมีเป้าหมายเพื่อจัดทำกฎระเบียบต่างๆเพื่อควบคุมและลดปัญหามลพิษในสิ่งแวดล้อมที่มาจากก๊าซเสียต่างๆที่ถูกปล่อยออกมาจากรถยนต์ ปัจจุบันมี 12 มลรัฐที่มีการวางแผนจัดทำมาตรการตอบสนองกฎหมาย Clean Air Act แล้ว ได้แก่ California, Delaware, Maine, Maryland, Massachusetts, New Jersey, New York, Oregon, Pennsylvania, Rhode Island, Vermont และ Washington ระดับความรุนแรงของมาตรการของแต่ละมลรัฐแตกต่างกันออกไป โดยรัฐแคลิฟอร์เนียมีการจัดทำมาตรการในระดับสุดกู่มากที่สุด

 

สรุปมาตรการที่ 12 มลรัฐจัดทำ
1. ออกกฎระเบียบต่างๆเพื่อควบคุมปฏิบัติการของรถยนต์สันดาปโดยมีเป้าหมายลดการใช้รถยนต์สันดาป
(1) กำหนดปริมาณการปล่อยก๊าซเสียจากรถยนต์สันดาปให้อยู่ในระดับต่ำสุด เช่น New York วางแผนจะลดปริมาณการปล่อยก๊าซเสียลงร้อยละ 85 ภายในปี 2050
(2) ห้ามการจำหน่ายรถสันดาป และเข้าสู่ระบบ zero emission อย่างสมบูรณ์ หรือ ห้ามการจำหน่ายแต่ไม่ห้ามการนำรถสันดาปที่มีอยู่แล้วออกมาวิ่งบนถนน

(3) ให้การสนับสนุนทางการเงินในการซื้อสินค้ารถยนต์ไฟฟ้า เช่น การให้ส่วนลด การจัดทำสถานที่ชาร์ตรถยนต์ การให้เครดิตภาษีและสิทธิพิเศษต่างๆการใช้ถนน

(4) ลงทุนในการจัดทำมาตรการและโครงสร้างต่างๆที่จะเป็นการสนับสนุนการสร้าง clean air รวมถึงการเติบโตของการใช้รถยนต์ไฟฟ้า

 

2. กำหนดวันสิ้นสุดของการใช้รถยนต์สันดาป เพื่อเข้าสู่ zero-emission ทั้งหมดหรือบางส่วน โดยบางรัฐมีการกำหนดชัดเจน/ประมาณการณ์วันที่มีผลบังคับใช้ บางมลรัฐใช้วิธีค่อยๆลดจำนวนรถยนต์สันดาปลงเรื่อยๆจนถึงกำหนดวันที่มีผลบังคับใช้ เช่น
(1) กำหนดชัดเจนห้ามการจำหน่ายรถยนต์สันดาปในปี 2025: California, Massachusetts, New Jersey, New York, Oregon, Pennsylvania, Rhode Island, Vermont, Washington

(2) กำหนดห้ามการจำหน่ายในปี 2028: Maine
(3) รัฐที่วางแผนดำเนินการแต่ยังไม่มีกำหนดวันที่ที่มีผลบังคับใช้ ได้แก่ Delaware

 

เงื่อนไขสำคัญที่ยังคงสนับสนุนตลาดรถยนต์สันดาปและเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้า คือ
1. ราคารถยนต์สันดาปที่ต่ำกว่ารถยนต์ไฟฟ้าประมาณร้อยละ 32.6 ในเดือนพฤษภาคม 2567 ราคาเฉลี่ยของรถยนต์ไฟฟ้าจะประมาณ 53,048 เหรียญฯต่อคัน เปรียบเทียบกับราคารถยนต์สันดาปที่ประมาณ 35,722 เหรียญฯต่อคัน ราคาค่าเช่าซื้อรถยนต์ไฟฟ้าในระยะเวลานาน 3 ปี โดยเฉลี่ยจะสูงกว่าราคาเช่าซื้อรถยนต์สันดาปประมาณ 1,800 เหรียญฯ

 

2. แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า มีราคาสูงกว่า แบตเตอรี่รถยนต์สันดาป เป็นอย่างมาก

 

3. เทคโนโลยี่ที่ยังไม่หยุดนิ่ง ทำให้ผู้บริโภคจำนวนมากยังไม่มั่นใจที่จะใช้รถยนต์ไฟฟ้า

 

สำนักงานฯลอสแอนเจลิส มีความเห็นว่า
1. ในเบื้องต้นของการเปลี่ยนเข้าสู่การเป็นตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของสหรัฐฯ อาจจะส่งผลกระทบต่อการผลิตและส่งออกชิ้นส่วนประกอบรถยนต์สันดาปอยู่บ้างแต่ไม่มากนัก เนื่องจากปัจจุบัน รถยนต์สันดาปและรถยนต์ไฟฟ้า มีชิ้นส่วนประกอบหลักที่เหมือนกัน เช่น gears, electric motors, transmission fluid, braking system และ coolants เป็นต้น

 

2. ตัวเร่งสำคัญการเข้าสู่การเป็นตลาดรถยนต์ไฟฟ้าอย่างแท้จริงของสหรัฐฯ คือ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี่รถยนต์ไฟฟ้า ซึ่ง สคต. ลอสแอนเจลิสคาดการณ์ว่าจะดำเนินไปอย่างรวดเร็ว และอาจมีผลกระทบต่อชิ้นส่วนประกอบต่างๆที่นำมาใช้ในการผลิต

 

3. เมื่อเทคโนโลยี่ชั้นสูงเข้าสู่อุตสาหกรรมใด อุตสาหกรรมนั้นจะไม่ถอยกลับไปสู่อดีต ตลาดรถยนต์สหรัฐฯก็เช่นกัน เมื่อได้ย่างเข้าสู่ตลาดรถยนต์เทคโนโลยี่ก้าวหน้าชั้นสูงไปแล้วจะไม่ถอยกลับ

 

4. เมื่อเวลาผ่านไปจะมีรัฐต่างๆเข้าร่วมในการจัดทำนโยบายและกฎหมายของที่ชัดเจนและเข้มงวดเพิ่มมากยิ่งขึ้นเพื่อเข้าสู่การเป็น Zero emission มากขึ้น

 

5. หากประธานาธิบดีสหรัฐฯคนต่อไปมาจากพรรคดิโมแครต ที่มีความเชื่อในเรื่องสิ่งแวดล้อมถูกทำลายและการเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศของโลก

 

ตัวแปรที่อาจจะยืดเวลาอายุรถยนต์สันดาปอยู่ต่อไป คือ Donald Trump ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯคนต่อไป พิจารณาจากการหาเสียง ที่ Donald Trump อ้างว่า การเข้าสู่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าอาจเป็นหายนะของอุตสาหกรรมรถยนต์สหรัฐฯ อย่างไรก็ดี จำเป็นต้องรอดูสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นจริงเมื่อ Donald Trump ได้เป็นประธานาธิบดีคนต่อไป

 

หมายเหตุ: ข่าวข้างบนนี้เป็นข้อมูลที่ได้มาจากแหล่งข้อมูลหลายแห่งที่จัดทำและนำเสนอข้อมูลเปิดเผยต่อสาธารณชนทั่วไป และบางส่วนเป็นความเห็นส่วนบุคคล สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครลอสแอนเจลิส นำมารวบรวมเผยแพร่เพื่อแก่ผู้สนใจ เนื่องจากเป็นข้อมูลและความเห็นจากบุคคลที่สาม การนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ ไม่ว่าในกรณีใดๆ ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณเฉพาะบุคคล สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครลอสแอนเจลิส ไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายใดๆที่อาจเกิดขึ้นจากการนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ 

 

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครลอสแอนเจลิส | ตุลาคม 2567

 

thThai