ตลาดสินค้าของตกแต่งบ้านในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยที่ร้อยละ 5.10 ระหว่างปี 2567-2575 โดยในปี 2567 มูลค่า 2.59 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และจะแตะระดับ 3.12 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2575 โดยตลาดที่มีการขยายตัวนั้น สะท้อนถึงรายได้ที่จับจ่ายได้ (Disposable Incomes) ที่เพิ่มขึ้น การขยายตัวของเมือง การเพิ่มของจำนวนประชากร และมีการเพิ่มความต้องการการออกแบบและตกแต่งบ้านเรือนให้หรูหราขึ้น  โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนตลาดการตกแต่งบ้านในยูเออี พอสรุปได้ดังนี้

  1. การขยายตัวของประชากรชาวต่างชาติเพิ่มขึ้น รายได้ ที่จับจ่ายได้ (Disposable Incomes) รวมถึงความนิยมของการใช้ชีวิต ที่หรูหราที่เพิ่มขึ้น เป็นปัจจัยที่ทำให้มีการเติบโตของตลาดการตกแต่งบ้านในยูเออี ผู้อยู่อาศัยต้องการออกแบบ ตกแต่งภายในบ้าน/ที่อยู่อาศัยของตนเอง เพราะเป็นหนึ่งในส่วนสำคัญที่จะสร้างอัตลักษณ์และบ่งบอกถึงรสนิยมเฉพาะตัวของเจ้าของบ้าน จึงทำให้มีความต้องการผลิตภัณฑ์ตกแต่งบ้านคุณภาพสูงที่สวยงาม นอกจากนี้ การเติบโตของอสังหาริมทรัพย์ในยูเออี โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ เช่น เมืองดูไบ     และกรุงอาบูดาบี ยังเป็นแรงกระตุ้นความต้องการดังกล่าวด้วย     โดยเจ้าของบ้านและผู้เช่ารายใหม่ลงทุนในการตกแต่งบ้านอย่างมีสไตล์ นอกจากนี้ ความนิยมที่เพิ่มขึ้นของแพลตฟอร์ม          โซเชียลมีเดีย ที่นำเสนอแนวโน้มการออกแบบตกแต่งภายในยังส่งผลต่อความต้องการของผู้บริโภคและพฤติกรรมการซื้อเพื่อการตกแต่งบ้าน
  2. อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกับสินค้าของขวัญของชำร่วย จากข้อมูลของกระทรวงเศรษฐกิจและ การท่องเที่ยวของยูเออี ระบุว่ายูเออีมีภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่แข็งแกร่ง และได้รับการสนับสนุนจากมาตรการ ของรัฐบาล เช่น วิสัยทัศน์เศรษฐกิจอาบูดาบี พ.ศ. 2573 (Abu Dhabi’s Economic Vision 2030) และ “ยุทธศาสตร์ การท่องเที่ยวภายในประเทศของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์” (UAE Strategy for Domestic Tourism) นอกจากนี้ คาดว่าเมืองดูไบจะเปิดตัวโครงการริเริมใหม่ที่สอดคล้องกับกลยุทธ์การท่องเที่ยวของยูเออี ปี พ.ศ. 2574 (UAE 2031 Tourism Strategy) โดยมีเป้าหมายเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้ถึง 40 ล้านคน ภายในปี 2574 และเพิ่มสัดส่วนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของ GDP ยูเออีเป็น 122.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ จำนวนนักท่องเที่ยวและห้องพักจะได้ถูกจับจองเพิ่มขึ้น

ดังนั้น การขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวจึงคาดว่าจะเป็นการกระตุ้นความต้องการของสินค้ากระเป๋าเดินทาง รองเท้า เสื้อผ้า และของขวัญของชำร่วย เนื่องจากนักท่องเที่ยวมีแนวโน้มที่จะซื้อของที่ระลึกและผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นที่มีชื่อเสียง เพื่อแบ่งปันกับครอบครัวและคนที่รัก การเติบโตนี้ยังคาดว่าจะเพิ่มความต้องการผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก เช่น ของเล่นและรองเท้า ซึ่งขับเคลื่อนโดยความต้องการในการสำรวจและเทรนด์แฟชั่นใหม่ๆ อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์และตกแต่งบ้าน นั้นจะเรียกว่าเป็นธุรกิจต่อเนื่องของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็คงไม่ผิดนัก

  1. ตลาด E-Commerce เฟอร์นิเจอร์และของใช้ในครัวเรือนของยูเออี ประเมินว่าภายในปี 2567 มูลค่าสำหรับตลาดเฟอร์นิเจอร์และของใช้ในครัวเรือน จะสูงถึง 249.6 ล้านเหรียญสหรัฐภายในหรือ คิดเป็นร้อยละ 3.7 ของตลาดอีคอมเมิร์ซทั้งหมดในประเทศ คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นในอีก 2-3 ปีข้างหน้า และคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีในอีก 4 ปีข้างหน้า (อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีระหว่างปี 2567-2568) จะอยู่ที่ร้อยละ 1.7 และคาดว่าในปี 2571 จะมีมูลค่าตลาดถึง 266.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

เทรนด์ของตกแต่งบ้าน

การออกแบบตกแต่งภายในบ้าน นับเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่จะสร้างอัตลักษณ์และบ่งบอกถึงรสนิยมเฉพาะตัวของเจ้าของบ้าน เทรนด์ของตกแต่งบ้านปี 2567 ของยูเออี สามารถสรุปได้ ดังนี้

  1. วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Eco-Friendly Materials) เจ้าของบ้านหันมาใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อ สิ่งแวดลอมมากขึ้น เช่น ไม้ไผ่ ไม้รีไซเคิล และโลหะรีไซเคิล วัสดุเหล่านี้มีเสน่ห์ดูน่าดึงดูดใจ และยังช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอีกด้วย
  2. เรียบหรูสไตล์มินิมอล (Minimalist Aesthetics) ในปี 2567 สไตล์มินิมอลจะยังคงครองการตกแต่งบ้านต่อไป เทรนด์นี้เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ เน้นประโยชน์ใช้สอยและความสวยงาม
  3. เทคโนโลยีบ้านอัจฉริยะเข้ามาใช้ในบ้าน (Integrated Technology) การนำเทคโนโลยีอัจฉริยะต่างๆ เข้ามาติดตั้งและใช้งาน เช่น ระบบควบคุมด้วยเสียง หลอดไฟ LED ปรับแสงได้ เพื่ออำนวยความสะดวก และช่วยประหยัดพลังงาน ระบบรักษาความปลอดภัยอัตโนมัติ และเทคโนโลยีไฮเทคอื่นๆ ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและความปลอดภัย นอกจากนี้ เฟอร์นิเจอร์ที่มีเทคโนโลยีในตัวก็กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น
  4. การผสมผสานทางวัฒนธรรม (Cultural Fusion) การตกแต่งบ้านของยูเออีในปี 2567 ผสมผสานองค์ประกอบดั้งเดิมเข้ากับการออกแบบที่ทันสมัย สร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น ใช้ลวดลายแกะสลักแบบอาหรับดั้งเดิม สิ่งทอบนเฟอร์นิเจอร์และเครื่องประดับตกแต่งที่ทันสมัย เพื่อเป็นการผสมผสานประเพณี เครื่องประดับตกแต่งทำมือยังเป็นที่ต้องการเสมอ พรมทอที่ละเอียดอ่อน เฟอร์นิเจอร์ไม้แกะสลักด้วยมือ บอกเล่าเรื่องราวและนำความรู้สึกของมรดกและวัฒนธรรมมาสู่พื้นที่ใช้สอยยุคใหม่สีสันที่สดใส (Vibrant Accents) ในขณะที่โทนเฉดสีธรรมชาติเป็นที่นิยม
  5. สีสันที่สดใสก็ถูกนำมาใช้เพื่อเพิ่มความเป็นเอกลักษณ์และชีวิตชีวาให้กับการตกแต่งภายใน เบาะรองนั่งสีสันสดใส แจกันสีสันสดใส และงานศิลปะที่สะดุดตาช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่มีชีวิตชีวา
  6. แจกันต้นไม้และกระถางต้นไม้แนวใหม่ (Indoor Plants) การนำธรรมชาติเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการตกแต่งบ้านถือเป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่จะสามารถดึงดูดสายตาได้อย่างแท้จริงนั้น จำเป็นต้องนำเสนอในรูปแบบของแจกันหรือกระถางต้นไม้ดีไซน์สวยงามที่แตกต่างจากกระถางทั่วไป รูปทรงล้ำสมัยและ การผสมผสานวัสดุอย่างลงตัว
  7. เครื่องประดับที่สะดุดตา (Standout Decor Pieces) การลงทุนในงานศิลปะที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว จึงเป็นเทรนด์ที่กำลังเติบโตขึ้น ตั้งแต่ภาพวาดไปจนถึงประติมากรรม หรือเซรามิกที่ได้รับการปั้นขึ้นด้วยมือของช่างศิลป์อย่างประณีต ล้วนนับเป็นของตกแต่งที่สามารถสร้างบรรยากาศอบอุ่น มีเอกลักษณ์ ซึ่งจะช่วยเสริมคุณค่าของการตกแต่งภายในบ้านได้เป็นอย่างดี
  8. รูปแบบที่ยืดหยุ่น (Flexible Layouts) การทำงานทางไกล และการเรียนออนไลน์เริ่มระบาดมากหลังสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ครอบครัวต้องปรับตัวมากขึ้น พื้นที่อเนกประสงค์ที่สามารถเปลี่ยนจากโฮมออฟฟิศไปสู่ ห้องออกกำลังกายหรือพื้นที่เรียนรู้ได้อย่างง่ายดายเป็นที่ต้องการอย่างมาก การจัดวางที่ยืดหยุ่นได้ตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของชีวิตสมัยใหม่
  9. พรมลายลวดลายทันสมัย (Geometric & Modern Patterned Rugs) ซึ่งนอกจากพรมเปอร์เซีย จากอิหร่าน ตุรกี และปากีสถาน พรมลวดลายทันสมัยเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นที่ให้ความสำคัญแก่การตกแต่งพื้นบ้าน ด้วยลวดลายหลากสีสันที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว จะช่วยสร้างจุดสนใจและความโดดเด่นให้กับห้อง ควบคู่ไปกับการเลือกใช้สีที่กลมกลืนกับการตกแต่งภายในห้องนั้นๆ
    1. Home Decor Stores ร้านขายเฟอร์เจอร์และเครื่องประดับตกแต่งบ้าน เช่น Pottery Barn, Crate and Barrel Dubai, The One, Home Center, The Odd Piece, Marina Home Interiors
    2. Online Stores ที่ได้รับความนิยมซื้อเครื่องประดับและของตกแต่งบ้านผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น เช่น Noon.com, Amazon.ae, LetsTango.comผ้าปูโซฟาหรือเก้าอี้ลายสวยงาม การเลือกใช้ผ้านวมปูโซฟา หรือเบาะรองนั่งลวดลายสวยงาม จะช่วยเปลี่ยนลุคของเฟอร์นิเจอร์ให้ดูแปลกใหม่และมีสไตล์ ทั้งยังสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามแต่โอกาสและบรรยากาศที่ต้องการอีกด้วยช่องทางการกระจายสินค้า
    3. Gift & Souvenir Shops จำหน่ายสินค้าหัตถกรรมจากเอเซีย แอฟริกา เช่น Al Jaber Gallery,  The Antique Muaeum, Art Cell, Artezaar LLC, Pyaarnation, Tales of Dubai, Home Hub Middle East
    1. Hypermarkets จำหน่ายเครื่องประดับและของตกแต่งบ้านขนาดเล็ก เช่น ห้าง Carrefour, Lulu
    2. Project Consultants / Interior Designs บริษัทที่ปรึกษาและให้คำแนะนำการออกแบบสรุป ข้อเสนอแนะ แนวโน้มสินค้า
      1. แนวโน้มสำคัญที่ส่งผลต่อตลาดสินค้าตกแต่งบ้านในยูเออี ได้แก่

      1.1 ความต้องการวัสดุที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคมีความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ส่งผลให้ความต้องการผลิตภัณฑ์ที่ทำจากวัสดุรีไซเคิลหรือวัสดุธรรมชาติ เช่น ไม้ ไม้ไผ่ และผ้าออร์แกนิกเพิ่มขึ้น

      1.2 การเพิ่มขึ้นของการตกแต่งบ้านอัจฉริยะ ซึ่งเทคโนโลยีถูกผสานเข้ากับการตกแต่งบ้าน           เช่น ระบบไฟอัจฉริยะ มู่ลี่อัตโนมัติ และเฟอร์นิเจอร์อเนกประสงค์

      1.3. สไตล์การออกแบบที่เรียบง่ายและร่วมสมัยยังได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเจ้าของบ้านเลือกสไตล์ที่ทันสมัยและเรียบง่ายที่สอดคล้องกับเทรนด์ระดับโลก

      1.4 การขยายตัวของ e Commerce ยังทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงผลิตภัณฑ์ตกแต่งบ้านที่หลากหลายทางออนไลน์ได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้ตลาดเติบโตต่อไป

      1.5 อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์และตกแต่งบ้าน ถือเป็นธุรกิจต่อเนื่องของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ การขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ โรงแรมที่พัก ที่ต้องการออกแบบตกแต่งสร้างความแตกต่าง

      ปัจจัยเหล่านี้ควบคู่ไปกับการเน้นที่การปรับแต่งและนวัตกรรมที่เพิ่มมากขึ้น คาดว่าจะผลักดันให้ตลาดการตกแต่งบ้านในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เติบโตต่อไปในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

      1. ข้อเสนอแนะ

      ควรเร่งยกระดับคุณภาพของสินค้าและการออกแบบให้เป็นที่ยอมรับและหลากหมายมากขึ้น เนื่องจากประเทศไทยมีต้นทุนวัตถุดิบและค่าแรงสูง เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่ง อาทิ จีน เวียดนาม อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ทำให้ไทยไม่สามารถแข่งขันในเชิง Mass Production ดังนั้น ไทยจะต้องใช้จุดแข็งด้านดีไซน์ และการตลาด กล่าวคือ (1) ต้องผลิตสินค้าให้มีเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากคู่แข่ง (2) ทำการตลาด โดยการร่วมกับบริษัทที่ปรึกษาก่อสร้างหรือบริษัทตกแต่งภายในที่รับงานโครงการอสังหาริมทรัพย์ (3) เข้าร่วมงานแสดงสินค้า INDEX ณ เมืองดูไบ ที่จัดขึ้นเป็นประจำในเดือนมิถุนายนของทุกปี โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) นำคณะผู้ประกอบการไทยเข้าร่วมงานดังกล่าวทุกปี

       

      ************************************************

     

thThai