บริษัทรถยนต์อย่างค่าย BMW Mercedes และ Volkswagen ยังคงมองเห็นศักยภาพมหาศาลในการสร้างผลกำไรเพิ่มเติมจากการพัฒนาระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ โดยเมื่อถามผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติเยอรมันเกี่ยวกับ “Cybercab” และ “Robovan” ที่ใช้ในรถยนต์ของบริษัท Tesla คุณจะสามารถสังเกตได้ว่า บริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของเยอรมันยังคงยืนกรานในจุดแข็งของตัวเอง โดยหน่วยงานดูแลการดำเนินงานด้านรถเพื่อการพาณิชย์ (Commercial Vehicles) ของบริษัท Volkswagen กล่าวว่า “ความปลอดภัยเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดของเรา และเราให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากกว่าเรื่องสมรรถนะหรือความเร็วของรถเสียอีก” ปัจจุบัน Volkswagen ร่วมกับ Mobileye ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Intel จากอิสราเอลกำลังทดสอบรถรับส่งที่ใช้ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ ที่เมืองฮัมบูร์ก มิวนิก และเท็กซัส โดยในปี 2025 จะเริ่มทดลองขับครั้งแรกร่วมกับลูกค้าและผู้เชี่ยวชาญด้านการขับเคลื่อนอย่างปลอดภัยในเมืองฮัมบูร์ก โดยบริษัทในเครือของ Volkswagen ไม่ได้แสดงความเห็นอะไรเกี่ยวกับประกาศของ Tesla ในครั้งนี้ ในขณะที่ Mercedes ออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับ Tesla ในตอนที่หนังสือพิมพ์ Handelsblatt ทำการสัมภาษณ์นาย Markus Schäfer ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยีของ Mercedes ว่า “Mercedes ตั้งเป้าที่จะผู้นำในด้านระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติชั้นสูง” และกำลังพัฒนา “แนวทางการออกแบบที่เน้นยึดหลักความปลอดภัยเป็นหลัก” ซึ่งสิ่งที่ทำให้ Mercedes ใช้เซ็นเซอร์หลายตัว และมีความต่างกับ Tesla ที่เพียงต้องการพัฒนาระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติผ่านกล้องเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เบื้องหลังผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติเยอรมันออกมาแสดงความนับถือในตัวนาย Elon Musk ในการนำเสนอ “Cybercab” และ “Robovan” ในฮอลลีวู๊ด ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทผลิตรถยนต์สัญชาติของเยอรมนีสันนิษฐานว่า หากบริษัท Tesla สามารถให้บริการ Cybercab แก่บุคคลทั่วไปในปี 2027 เป็นต้นไป ในราคา 30,000 เหรียญสหรัฐฯ ได้จริง ตามที่นาย Musk ประกาศ ก็ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาระบบต่าง ๆ ของผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศด้านระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติจะกลับเพิ่มขึ้นอย่างหนักอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม นาย Schäfer ได้ออกมาเตือนว่า “การเดิมพันกับแท็กซี่โรบอทนั้นเป็นการเดิมพันที่มีความเสี่ยงสูง” เพราะในความเป็นจริงเมื่อพูดถึงหัวข้อนี้ผู้ผลิตรถยนต์ชาวเยอรมันให้ความสำคัญกับการวิวัฒนาการมากกว่าการปฏิวัติ โดย Mercedes, BMW และ Co. กำลัง ทยอยเปิดตัวระบบการขับเคลื่อนอัตโนมัติที่มีระดับต่าง ๆ แบ่งย่อยออกเป็น 5 ระดับ ในทางกลับกันบริษัท Tesla ตั้งเป้าการใช้งานระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติที่ระดับสูงสุดระดับที่ 5 กล่าวคือ ขับเคลื่อนอัตโนมัติโดยสมบูรณ์แบบ ปัจจุบันในตลาดรถยนต์โลกระบบผู้ช่วยคนขับแบบอัจฉริยะ (ADAS – Advanced Driver Assistance Systems) ของบริษัท Mercedes ก้าวหน้าไปไกลที่สุด ภายในสิ้นปีนี้บริษัท Mercedes กำลังวางแผนอัปเดตระบบ “Drive Pilot” สำหรับการขับเคลื่อนอัตโนมัติให้เป็นระดับ 3 ที่สามารถขับเคลื่อนอัตโนมัติได้ในความเร็วสูงสุด 95 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยระดับ 3 หมายความว่า ผู้ขับขี่ไม่จำเป็นต้องคอยจับตาดูผู้ช่วยคนขับแบบอัจฉริยะอย่างต่อเนื่อง การอ่านหนังสือ การทำงาน หรือการประชุมทางวิดีโอหลังพวงมาลัย จะได้รับอนุญาตในระหว่างที่รถยนต์เคลื่อนตัวอย่างอิสระบนทางหลวง นอกจากนี้ในเวลาอันไกล้บริษัท BMW ยังวางแผนที่จส่งเทคโนโลยีดังกล่าวออกสู่ตลาด โดยรถยนต์ของ BMW สามารถขับเคลื่อนอัตโนมัติได้ในความเร็วสูงสุดความเร็วสูงสุดที่ 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ปัจจุบัน Mercedes, BMW และ VW ใช้ระบบเซ็นเซอร์แบบเรดาร์ (Radar – Radio Detection and Ranging) และเซ็นเซอร์แบบไลดาร์ (LiDAR – Light Detection and Ranging หรือ Light Imaging, Detection and Ranging) ซึ่งมีราคาแพงกว่า แต่ถือว่าเป็นระบบเซ็นเซอร์ที่มีความน่าเชื่อถือ และมีความปลอดภัยสูงมาก ในทางกลับกันวิธีแก้ปัญหาด้านระบบการขับเคลื่อนอัตโนมัติด้วยกล้องของบริษัท Tesla ถือว่า มีความเสี่ยงสูงกว่า แม้ว่า นาย Musk จะไม่เคยเบื่อที่จะออกมากล่าวย้ำว่า กล้องนั้นก็มีความน่าเชื่อถือเทียบเท่ากับสายตามนุษย์ก็ตาม นาย Moritz Kronenberger นักวิเคราะห์ของบริษัท Union Investment กล่าวว่า “โดยส่วนตัวแล้วผมไม่คิดว่า เราจะเห็นระบบการขับเคลื่อนอัตโนมัติที่ใช้กล้องบนท้องถนนในประเทศสหรัฐอเมริกาในอนาคตอันใกล้นี้” อย่างไรก็ตาม ราคารถยนต์ที่นาย Musk ประกาศไว้ว่า การขับเคลื่อนต่ำกว่า 20 เซ็นต์ต่อ 1 ไมล์ เป็นราคาที่ดีมาก นาย Kronenberger กล่าวว่า “หากต้นทุนด้านเทคโนโลยียังคงลดลงต่อไปอย่างนี้ในอนาคต โมเดลธุรกิจ (Business Model) ดังกล่าว อาจจะน่าดึงดูดทางเศรษฐกิจมากขึ้น หากสามารถลดเวลาการหยุดเดินรถ และหลีกเลี่ยงการเคลื่อนย้ายแบบไร้ประโยชน์ได้” นาย Stefan Bratzel ผู้เชี่ยวชาญด้านรถยนต์จาก Center Automotive Management ยังเน้นย้ำว่า “แนวทางของผู้ผลิตรถยนต์ชาวเยอรมันดูเหมือนจะเป็นแนวทางที่เข้าใจได้ และสมจริงมากกว่า” แม้ว่าจะ “ต้องใช้เวลาหลายปีอย่างแน่นอน” ก่อนที่แท็กซี่โรบอทจะถูกนำมางานใช้ในวงกว้างจริง ๆ ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ในเยอรมนีสันนิษฐานว่า “ไม่มีใครเชื่อว่า นาย Musk จะสามารถรถยนต์ดังกล่าวออกสู่ท้องถนนภายในปี 2027” ดังที่เขากล่าวไว้
จาก Handelsblatt 4 พฤศจิกายน 2567