ค่าเงินเช็กคราวน์ได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากตลาดตอบสนองต่อชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ตามข้อมูลจาก Patria Online โดยค่าเงินเช็กคราวน์อ่อนค่าลงตั้งแต่วันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน 2567 ถึง 35 ฮาเลรู โดยวันพุธมีการซื้อขายอยู่ที่ 23.60 เช็กคราวน์ต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือเป็นการร่วงลงอย่างรวดเร็วที่สุดครั้งหนึ่งของค่าเงินเช็กคราวน์ โดยเปโซของเม็กซิโกและฟอรินต์ของฮังการีก็เผชิญแรงกดดันในลักษณะเดียวกัน ในทางตรงกันข้าม ค่าเงินรูเบิลของรัสเซียได้แข็งค่าขึ้นเพื่อตอบสนองต่อกระแสความนิยมของทรัมป์เหนือคู่แข่งจากพรรคเดโมแครตอย่างกมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐในปัจจุบัน
ตามที่นักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารทรินิตี้ (นายลูคาช โควานดา) ซึ่งเขียนบทความให้กับ Newstream ระบุว่า การที่ทรัมป์จะขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในเดือนมกราคม 2568 นั้น ทำให้เกิดความไม่แน่นอนขึ้นอีกครั้งในด้านการค้าระหว่างประเทศและอัตราดอกเบี้ย ท่าทีของประธานาธิบดีทรัมป์เกี่ยวกับภาษีศุลกากรและนโยบายคุ้มครองการค้าอาจถูกปิดกั้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อสกุลเงินที่พึ่งพาการส่งออกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเป็นหลักอย่างเช่นสาธารณรัฐเช็ก “ภาษีศุลกากรของทรัมป์อาจสร้างแรงกดดันอย่างมากต่อสกุลเงินเช็กคราวน์ ซึ่งพึ่งพาการค้าระหว่างประเทศเป็นหลัก ด้วยอุปสรรคทางการค้าที่อาจเกิดขึ้น สกุลเงินเช็กคราวน์กำลังสูญเสียมูลค่าในปัจจุบัน” แต่อย่างไรก็ตามแม้ว่าค่าเงินเช็กคราวน์จะอ่อนค่าลง แต่ตลาดหุ้นทั่วโลกก็มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นควบคู่ไปกับค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่า ซึ่งพุ่งขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 บิตคอยน์ยังพุ่งสูงขึ้นเช่นกัน โดยแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 75,000 ดอลลาร์ต่อเหรียญ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรเพิ่มขึ้นท่ามกลางความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นในหมู่นักลงทุนว่านโยบายของทรัมป์อาจเอื้อต่อการเติบโตของตลาด แม้ว่านักวิเคราะห์จะเตือนว่าการควบคุมร่วมกันของพรรครีพับลิกันเหนือฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงนโยบายที่สำคัญ ซึ่งโดยปกติตลาดการเงินต้องการการเมืองที่สมดุล ซึ่งไม่มีพรรคการเมืองใดมีอำนาจเหนือตลาด เพื่อให้มั่นใจว่าการเปลี่ยนแปลงนโยบายจะมีความเหมาะสม อย่างไรก็ตาม ด้วยทำเนียบขาวและรัฐสภาที่เตรียมพร้อมสำหรับการกวาดชัยชนะของพรรครีพับลิกัน นักลงทุนอาจเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่รุนแรงกว่าปกติ ขณะที่การพัฒนาทางการเมืองยังคงดำเนินต่อไป นักวิเคราะห์คาดว่าค่าเงินเช็กคราวน์ จะยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากความเป็นผู้นำของทรัมป์แข็งแกร่งขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับมาตรการคุ้มครองทางการค้าและผลกระทบของอัตราดอกเบี้ยต่อเศรษฐกิจของสาธารณรัฐเช็ก
นอกจากผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐแล้วเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2567 คณะรัฐมนตรีของสาธารณรัฐเช็กเรียกร้องให้รัฐบาลตัดสินใจเกี่ยวกับการใช้เงินสกุลยูโรภายในประเทศ ก่อนการเลือกตั้งภายในประเทศประมาณเดือนตุลาคม 2568 โดยอ้างถึงความจำเป็นในการบรรลุข้อตกลงทางการเมืองและการสนับสนุนจากสาธารณชน ซึ่งการเรียกร้องดังกล่าวเกิดขึ้นจากการที่สภาเศรษฐกิจแห่งชาติของรัฐบาล (National Economic Council of the Government: NERV) นำเสนอบทวิเคราะห์ข้อดีและข้อเสียของการนำเงินสกุลยูโรมาใช้ ซึ่งหากการดำเนินการในกลไกอัตราแลกเปลี่ยนใช้เวลานานจะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจของสาธารณรัฐเช็ก ประกอบกับคำกล่าวของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร (นายมาเร็ก วีบอร์นี) “รัฐบาลจำเป็นต้องตัดสินใจ เพื่อให้สามารถยุติกระบวนการนี้ในระหว่างดำรงตำแหน่ง” เขาย้ำว่าจำเป็นต้องมีข้อตกลงทางการเมืองเบื้องต้นและการสนับสนุนจากสาธารณชนอย่างมีนัยสำคัญสำหรับการตัดสินใจครั้งนี้ แต่รัฐมนตรีไม่ได้ยืนยันว่าการนำสกุลเงินยูโรมาใช้จะเป็นส่วนหนึ่งของแผนการเลือกตั้งของพรรคร่วมรัฐบาลสำหรับการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาในปีหน้าหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตามรัฐมนตรีกระทรวงคมนาคม (นายมาร์ติน คุปกา) มีความเห็นไม่ตรงกันว่าการนำสกุลเงินยูโรมาใช้เพียงอย่างเดียวไม่สามารถรับประกันการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ และเน้นย้ำถึงความสำคัญในการใช้เครื่องมืออื่น ๆ เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ โดยระบุว่าการลดการขาดดุลงบประมาณเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องให้ความสำคัญ ทั้งนี้ สาธารณรัฐเช็กเข้าร่วมสหภาพยุโรปในปี 2547 แต่ยังไม่สามารถบรรลุเกณฑ์ Maastricht Criteria ซึ่งเป็นเกณฑ์ทางเศรษฐกิจและการเงินที่ประเทศในสหภาพยุโรป (EU) ต้องปฏิบัติตามเพื่อเข้าร่วมในสกุลเงินยูโร (Euro) ซึ่งประกอบด้วย 5 เกณฑ์หลักดังนี้:
- อัตราการขาดดุลของรัฐบาล หรือการขาดดุลงบประมาณ ต้องไม่เกินร้อยละ 3 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP)
- หนี้สาธารณะของประเทศต้องไม่เกินร้อยละ 60 ของ GDP หรือถ้าเกินต้องมีแนวโน้มลดลงในระยะยาว
- อัตราดอกเบี้ยระยะยาวต้องไม่เกินร้อยละ 2 จากอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยของ 3 ประเทศสมาชิกที่มีอัตราเงินเฟ้อต่ำที่สุด ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา
- อัตราเงินเฟ้อของประเทศต้องไม่สูงเกินร้อยละ 1.5 จากอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยของ 3 ประเทศสมาชิกที่มีอัตราเงินเฟ้อต่ำที่สุด ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา
- ประเทศที่ต้องการเข้าร่วมในยูโรโซนต้องมีเสถียรภาพในอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราของตน โดยต้องเข้าร่วมในกลไกอัตราแลกเปลี่ยนยุโรป (European Exchange Rate Mechanism หรือ ERM) อย่างน้อย 2 ปี โดยไม่ต้องมีการลดค่าเงินหรือเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง
ทั้งนี้ เกณฑ์ดังกล่าวออกแบบมาเพื่อให้แน่ใจว่าประเทศสมาชิกที่เข้าร่วมในยูโรโซนจะมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเงินที่เพียงพอ ซึ่งจะช่วยป้องกันปัญหาทางการเงินที่อาจกระทบต่อความมั่นคงของสกุลเงินยูโร โดยการปฏิบัติตามเกณฑ์เหล่านี้บังคับให้ประเทศสมาชิกดำเนินการปรับปรุงเศรษฐกิจของตน โดยการควบคุมการขาดดุลงบประมาณ การลดหนี้สาธารณะ และการรักษาเสถียรภาพของเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ย
ข้อคิดเห็น/เสนอแนะของ สคต.
จากข้อมูลที่กล่าวข้างต้นการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีความสำคัญต่อแนวโน้มเศรษฐกิจของสาธารณรัฐเช็กทั้งในด้านการค้า การลงทุน และนโยบายต่างประเทศ หากประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่เร่งผลักดันนโยบายที่ปกป้องตลาดภายในสหรัฐฯ หรือมาตรการด้านภาษีศุลกากรที่เข้มงวด ก็อาจทำให้เศรษฐกิจเช็กเผชิญกับความท้าทายใหม่ ๆ ซึ่งผู้ประกอบการไทยควรติดตามความเคลื่อนไหวด้านการค้าระหว่างประเทศอย่างใกล้ชิดเพื่อสามารถปรับตัวได้ทันตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงในอนาคต