ประเทศใดจะได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากภาษีศุลกากรของทรัมป์?

ประเทศใดจะได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากภาษีศุลกากรของทรัมป์?

โดนัลด์ ทรัมป์ให้คำมั่นว่าจะจัดเก็บภาษีสินค้าที่นำเข้าเป็นส่วนหนึ่งของวาระทางเศรษฐกิจในการเข้าดำรงตำแหน่งสมัยที่ 2 ของเขา ในขณะที่จีนมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบหนักที่สุด อย่างไรก็ดี ประเทศอื่นๆ รวมถึงพันธมิตรของสหรัฐฯ ก็กลับมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกาจะใช้เครื่องมือทางภาษีศุลกากรเพื่อกระตุ้นภาคธุรกิจของสหรัฐฯ โดยจะจัดเก็บภาษีสินค้าจากประเทศจีนสูงถึง 60 เปอร์เซ็นต์ และจัดเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศอื่นๆ สูงถึง 20 เปอร์เซ็นต์

แม้ว่านโยบายภาษีศุลกากรทั้งหมดจะต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐสภา แต่นักเศรษฐศาสตร์หลายคนได้เริ่มคาดเดาถึงผลกระทบที่นโยบายดังกล่าวจะมีต่อตลาดโลกแล้ว อาทิ ดร. Rishav Bista ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเท็กซัสคริสเตียน กล่าวกับนิตยสาร Newsweek ว่า “แม้ว่านโยบายภาษีศุลกากรของทรัมป์จะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางการค้ากับจีนมากขึ้น แต่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางการค้ากับสหภาพยุโรปด้วยเช่นกัน”

เช่นเดียวกับนาย Edward M. Feasel ประธานและศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ที่ Soka University of America กล่าวกับ Newsweek ว่า “หากประธานาธิบดีทรัมป์ยังคงรักษาคำสัญญาที่จะขึ้นภาษีศุลกากรในทุกประเทศและสูงสุดกับประเทศจีน การส่งออกและ GDP ในระบบเศรษฐกิจของประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ จะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน” Feasel กล่าวเสริมว่า “ประเทศเหล่านี้ พึ่งพาการส่งออกที่เป็นแหล่งของอุปสงค์มากกว่าสหรัฐฯ มาก โดยอัตราส่วนการส่งออกต่อ GDP ของประเทศ G7 อื่นๆ สูงกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่สหรัฐฯ อยู่ที่ประมาณ 11 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ผู้คนมักลืมไปว่าการส่งออกเป็นแหล่งที่มาของอุปสงค์สำคัญสำหรับประเทศต่างๆ ทั่วโลก และช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและความเจริญรุ่งเรืองในปัจจุบัน

ประเทศจะที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากภาษีศุลกากรของทรัมป์

นักเศรษฐศาสตร์หลายคนเตือนว่าภาษีศุลกากรของโดนัลด์ ทรัมป์อาจส่งผลกระทบต่อพันธมิตรของสหรัฐฯ

ซึ่งมีบางบริบทแสดงให้เห็นว่ามีความเป็นไปได้ที่ยุโรปอาจได้รับผลกระทบมากกว่าจีน การศึกษาแบบจำลอง
โดย Financial Times และ Allianz Trade ได้แสดงให้เห็นว่ายุโรปจะได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากสงครามการค้านี้ จากสมมุติฐานว่าหากสหรัฐฯ ขึ้นภาษีจีนเป็น 25 เปอร์เซ็นต์และ 5 เปอร์เซ็นต์สำหรับประเทศอื่นๆ ของโลก ที่ไม่รวมแคนาดาและเม็กซิโก ในสถานการณ์นี้ คาดว่าประเทศต่างๆ ในยุโรปจะสูญเสียรายได้รวมกันเป็นมูลค่า 38,600 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2568 – 2569 เมื่อเทียบกับการขาดทุนของจีนอยู่ที่เพียง 34,200 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้
ในกรณีที่เกิด “สงครามการค้าเต็มรูปแบบ” โดยมีการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน 60 เปอร์เซ็นต์และจากประเทศอื่นๆ ทั้งหมด 10 เปอร์เซ็นต์ แบบจำลองนี้แสดงให้เห็นว่าจีนจะสูญเสียมูลค่ารวมประมาณ 125,300 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2568 – 2569 ในขณะที่ยุโรปจะสูญเสีย 124,800 ล้านเหรียญสหรัฐ

นาย Patrick Dine ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทที่ปรึกษา PSD Global กล่าวกับนิตยสาร Newsweek ว่า “เป้าหมายของการขึ้นภาษีนำเข้าจะอยู่ที่ประเทศจีน และประเทศมีการส่งออกสินค้าเข้ามายังสหรัฐฯ มากที่สุด ซึ่งรวมถึงกรณีอย่างประเทศเยอรมนีด้วย โดยทราบดีว่ารถยนต์ BMW มีแหล่งกำเนิดจากประเทศเยอรมนี และแม้ว่าได้ย้ายฐานการผลิตรถยนต์จำนวนมากมาตั้งในเซาท์แคโรไลนาแล้ว ก็ยังคงมีความเสี่ยงที่จะโดยผลกระทบเกี่ยวกับภาษีนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์เช่นกัน” นาย Patrick กล่าวเสริมว่า “ผู้ที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดคือประเทศที่ส่งออกสินค้ารายใหญ่ที่สุดมายังสหรัฐฯ นั่นก็คือประเทศจีนและประเทศอื่นๆ ในเอเชีย สำหรับแคนาดาและเม็กซิโกจะได้รับผลกระทบไม่มาก เนื่องจากยังมีข้อตกลงการค้าเสรีเป็นเกราะป้องกัน แต่ทั้งสองประเทศก็จะได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน”

สหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำเข้าสินค้ารายใหญ่เป็นอันดับ 2 และเป็นผู้นำเข้าบริการอันดับ 1 ของโลก ในปี 2565สหรัฐอเมริกานำเข้าสินค้ามูลค่ารวม 3.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ และนำเข้าบริการมูลค่า 680.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตามข้อมูลของสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา (Office of the United States Trade Representative) ซึ่งผู้ส่งออก 5 อันดับแรกของสหรัฐฯ ได้แก่ จีน (536.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ) เม็กซิโก (454.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ) แคนาดา (436.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ) ญี่ปุ่น (148.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ) และเยอรมนี (146.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ)  โดยสหรัฐฯ นำเข้าสินค้าจาก 27 ประเทศสมาชิกของสหภาพยุโรปรวมกันมีมูลค่า 553.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ และสำหรับภาคบริการ ในปี 2565 สหรัฐฯ นำเข้าภาคบริการมากที่สุดจากสหราชอาณาจักร มีมูลค่า 70.8 พันล้านดอลลาร์  คิดเป็น 10.4 เปอร์เซ็นต์ของการนำเข้าบริการทั้งหมด โดยการนำเข้าภาคบริการของสหรัฐฯ จากประเทศสมาชิก 27 ประเทศของสหภาพยุโรปรวมกันมีมูลค่า 166.7 พันล้านดอลลาร์

จากรายงาน ของ U.S. Office of Technology Evaluation การนำเข้าจากจีนของสหรัฐฯ
ในปี 2565 ส่วนใหญ่ คือ สินค้าเครื่องจักรและเครื่องใช้กลไก (47.7 เปอร์เซ็นต์) สินค้าผลิตอื่นๆ (13.5 เปอร์เซ็นต์) และสารเคมี พลาสติก ยาง และหนัง (10.5 เปอร์เซ็นต์) และจากรายงานของ Eurostat ระบุว่าในปี 2566 สินค้าส่วนใหญ่ที่สหรัฐฯ นำเข้าจากสหภาพยุโรป ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยาและเภสัชกรรม รองลงมาคือรถยนต์และยานยนต์ และยารักษาโรค

แม้จะมีการคาดการณ์ว่าจีนและยุโรปจะสูญเสียรายได้มากที่สุด แต่ ดร. Rishav Bista ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเท็กซัสคริสเตียน ยังคงเชื่อว่าคนอเมริกันจะได้รับผลกระทบมากที่สุดจากภาษีศุลกากร ซึ่งภาษีศุลกากรที่สูงขึ้นก็หมายถึงราคาที่สูงขึ้นสำหรับการนำเข้าปัจจัยการผลิต (เช่น เหล็กและอลูมิเนียม เป็นต้น) ของผู้ผลิตในสหรัฐฯ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะถูกส่งต่อไปยังผู้บริโภคในสหรัฐฯ ดร. Bista กล่าวเสริมว่า “ต้นทุนที่สูงขึ้นนี้อาจส่งผลให้การผลิตลดลง ซึ่งอาจส่งผลให้การว่างงานเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ภัยคุกคามจากการตอบโต้ของประเทศที่ได้รับผลกระทบอาจส่งผลต่อความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจมากขึ้น และยังอาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นและเพิ่มความผันผวนในตลาดในที่สุด”

อย่างไรก็ดี นาย Edward M. Feasel ได้แย้งว่าการพิจารณาอัตราภาษีศุลกากรที่เหมาะสมที่ไม่ใช่อัตรา 0 เปอร์เซ็นนั้นอาจเป็นเรื่องที่ควรดำเนินการ เนื่องจากการที่คนงานในสหรัฐฯ ต้องย้ายถิ่นฐานจากกระแสโลกาภิวัตน์และการค้าที่เพิ่มมากขึ้นนั้นเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นแล้ว และทำให้ชาวอเมริกันจำนวนมากผิดหวังกับการสนับสนุนการค้าเสรีของสหรัฐฯ ส่งผลให้มีการโต้แย้งสถานการณ์ดังกล่าว และส่งผลกระทบต่อประเด็นทางการเมืองดังที่เกิดขึ้น

ความเห็นของ สคต. นิวยอร์ก

การได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของทรัมป์เป็นสมัยที่สองอาจส่งผลให้สหรัฐฯ ดำเนินนโยบายการค้าที่เข้มงวดมากกว่ารัฐบาลของประธานาธิบดีไบเดน โดยเฉพาะการกำหนดอัตราภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นที่อาจส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทย ดังนั้น ผู้ประกอบธุรกิจไทยควรติดตามนโยบายการค้าของรัฐบาลทรัมป์ว่าจะมีการกำหนดอัตราภาษีนำเข้าต่อสินค้าไทยมากขึ้นหรือไม่ เพื่อปรับปรุงกลยุทธ์ทางการค้าให้สอดรับกับนโยบายดังกล่าว เช่น มุ่งกระจายตลาดส่งออกและลดการพึ่งพาสหรัฐฯ และอาศัยกรอบความร่วมมือระหว่างองค์ระดับภูมิภาคในการลดความเสี่ยงและผลกระทบจากข้อจำกัดทางการค้าของรัฐบาลทรัมป์

 

******************************

ข้อมูลอ้างอิง: newsweek 15 พ.ย.67

thThai