ที่มา : สำนักข่าว Bernama
การผลิตยางธรรมชาติของมาเลเซียลดลงร้อยละ 13.9 เหลือ 30,929 ตันในเดือนกันยายน 2567 จาก 35,908 ตันในเดือนสิงหาคม ตามข้อมูลจากกรมสถิติมาเลเซีย (DOSM)
เมื่อเปรียบเทียบปีต่อปี พบว่าการผลิตลดลงร้อยละ 5.6 จาก 32,757 ตันในเดือนกันยายน 2566 โดย Datuk Seri Dr Mohd Uzir Mahidin หัวหน้ากรมสถิติกล่าวว่า การผลิตยางธรรมชาติในเดือนกันยายน 2567 นี้ ส่วนใหญ่ร้อยละ 85.9 มาจากกลุ่มเกษตรกรรายย่อย ขณะที่ภาคสวนยางมีส่วนแบ่งอยู่ที่ร้อยละ 14.1
นอกจากนี้ ปริมาณสต็อกยางธรรมชาติทั้งหมดในเดือนกันยายนยังลดลงร้อยละ 1.6 มาอยู่ที่ 130,608 ตัน จาก 132,755 ตันในเดือนสิงหาคม โดยโรงงานแปรรูปยางมีส่วนแบ่งสต็อกยางธรรมชาติในสัดส่วนร้อยละ 88.6 รองลงมาคือผู้ใช้ยางร้อยละ 11.2 และสวนยางร้อยละ 0.2
ในเดือนกันยายน 2567 มาเลเซียมีปริมาณการส่งออกยางธรรมชาติรวม 39,915 ตัน ลดลงร้อยละ 30.6 จากเดือนสิงหาคมซึ่งมีปริมาณส่งออก 57,482 ตัน การส่งออกส่วนใหญ่ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์จากยางธรรมชาติ เช่น ถุงมือยาง ยางรถยนต์ ท่อ และเส้นด้ายยาง
จีนยังคงเป็นตลาดหลักในการส่งออกยางธรรมชาติ คิดเป็นร้อยละ 32.1 ของการส่งออกยางทั้งหมดในเดือนกันยายน รองลงมาคือ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ร้อยละ 15.6) เยอรมนี (ร้อยละ 11.7) สหรัฐอเมริกา (ร้อยละ 6.6) และโปรตุเกส (ร้อยละ 5.3)
ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ถุงมือยางเป็นสินค้าส่งออกอันดับหนึ่ง โดยมีมูลค่าการส่งออกรวม 1.2 พันล้านริงกิตในเดือนกันยายน 2567 ลดลงร้อยละ 23.0 จากเดือนสิงหาคมซึ่งมีมูลค่าการส่งออก 1.6 พันล้านริงกิต
กรมสถิติมาเลเซียยังระบุในรายงาน Malaysia Rubber Board Digest ฉบับเดือนกันยายน 2567 ว่า ตลาดยางในกรุงกัวลาลัมเปอร์แสดงแนวโน้มเป็นบวก โดยราคายาง SMR 20 มีความผันผวนในช่วงแคบ ๆอันเนื่องมาจากความกังวลเกี่ยวกับการขาดแคลนยางธรรมชาติ เนื่องจากสภาพอากาศที่ไม่แน่นอนในประเทศผู้ผลิตหลัก รวมทั้งความเชื่อมั่นของตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นหลังการลดอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกาและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน
บทวิเคราะห์ผลกระทบ
การลดลงของการผลิตและการส่งออกยางธรรมชาติของมาเลเซียอาจส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยในหลายด้าน ดังนี้:
- ผู้ส่งออกยางไทยอาจมีโอกาสในการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในประเทศที่เคยนำเข้าจากมาเลเซีย โดยเฉพาะในตลาดจีน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และเยอรมนี
- ราคายางในตลาดโลกอาจได้รับผลกระทบเชิงบวกจากอุปทานที่ลดลง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรชาวสวนยางไทย
- อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางของไทยควรเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนของราคาวัตถุดิบ
และโอกาสในการขยายการส่งออก - ผู้ประกอบการไทยที่มีห่วงโซ่อุปทานเชื่อมโยงกับมาเลเซียอาจต้องปรับแผนการจัดหาวัตถุดิบและการผลิต
ความคิดเห็น สคต.
จากสถานการณ์การผลิตและส่งออกยางธรรมชาติที่ลดลงของมาเลเซีย สคต. มีความเห็นว่าเป็นโอกาสสำคัญสำหรับผู้ประกอบการไทยในการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลก โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์แปรรูปยางที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เช่น ถุงมือยาง ซึ่งมีความต้องการในตลาดโลกอย่างต่อเนื่อง
สคต. แนะนำให้ผู้ประกอบการไทย:
- ติดตามสถานการณ์ตลาดยางในมาเลเซียอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับกลยุทธ์ทางการตลาดให้เหมาะสม
- พัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน
- แสวงหาโอกาสในการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจกับผู้ประกอบการในมาเลเซีย
- พิจารณาการลงทุนในอุตสาหกรรมแปรรูปยางในมาเลเซียเพื่อใช้ประโยชน์จากสิทธิพิเศษทางการค้าที่มีอยู่
ทั้งนี้ สำนักงานฯ พร้อมให้การสนับสนุนข้อมูลและคำแนะนำแก่ผู้ประกอบการไทยที่สนใจขยายตลาดในมาเลเซีย