นาย Nguyen Hoang Long รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนามได้เปิดเผยระหว่างการแถลงข่าวของรัฐบาลเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2567 ว่า กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนาม ได้มีการติดต่อกับตัวแทนจากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนอย่าง Temu และ Shein เพื่อให้ดำเนินการลงทะเบียนธุรกิจให้เสร็จสิ้นภายในเดือนนี้ พร้อมทั้งสั่งการให้ทั้งสองแพลตฟอร์มแจ้งเตือนผู้บริโภคชาวเวียดนามอย่างเป็นทางการผ่านแอปพลิเคชันของพวกเขาเกี่ยวกับการลงทะเบียนที่กำลังดำเนินอยู่ รวมถึงจำเป็นต้องหยุดกิจกรรมโฆษณาและการตลาดในช่วงที่กำลังอยู่ในกระบวนการลงทะเบียนเพื่อดำเนินธุรกิจในเวียดนามเพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภค

กระทรวงฯ ได้แจ้งให้บริษัทต่าง ๆ ปฏิบัติตามกฎหมายของเวียดนามหลังจากที่ได้แจ้งเตือนหลายครั้ง การไม่ปฏิบัติตามอาจนำไปสู่การดำเนินมาตรการทางเทคนิคร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น การบล็อกแอปพลิเคชันและการจำกัดชื่อโดเมน ในขณะเดียวกันกระทรวงฯ กำลังทำงานร่วมกับกระทรวงความมั่นคงสาธารณะเพื่อเพิ่มความเข้มข้นในการตรวจสอบ การสื่อสาร และการแนะนำผู้บริโภคเกี่ยวกับความเสี่ยงจากการทำธุรกรรมบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนที่ไม่ได้รับอนุญาต และได้รายงานต่อนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับการทำงานร่วมกับกระทรวงยุติธรรมในการปรับปรุงกรอบกฎหมายสำหรับกิจกรรมอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน

นอกจากนี้ ในการแถลงข่าวดังกล่าว นาย Mai Son รองอธิบดีกรมสรรพากรเวียดนาม ได้เน้นย้ำถึงหน้าที่ของซัพพลายเออร์ต่างชาติในเวียดนาม โดยข้อมูลถึงเดือนตุลาคม 2567 มีซัพพลายเออร์ต่างชาติจำนวน 116 รายที่ลงทะเบียนเพื่อยื่นแบบภาษีผ่านพอร์ทัลอิเล็กทรอนิกส์ (Taxation’s electronic portal) ของกรมสรรพากร ซึ่งมีมูลค่ารวมกว่า 20.17 ล้านล้านเวียดนามด่ง (ประมาณ 798.2 ล้านเหรียญสหรัฐ) โดยเป็นรายได้จากภาษีผ่านพอร์ทัลดังกล่าวสูงถึง 8.6 ล้านล้านเวียดนามด่งตั้งแต่ต้นปี 2567 เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.7 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2567 บริษัทของ Temu ซึ่งตั้งอยู่ในเวียดนาม ได้ลงทะเบียนภาษีผ่านพอร์ทัลอิเล็กทรอนิกส์ของกรมสรรพากรสำหรับซัพพลายเออร์ต่างชาติสำเร็จแล้ว และได้รับรหัสภาษี (MST) หมายเลข 9000001289 และบริษัทฯ ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษี (Tax declaration) ประจำไตรมาสที่ 3 โดยรายงานว่าไม่มีรายได้และได้แนบคำอธิบายประกอบ รายได้ที่เกิดขึ้นในเดือนตุลาคมจะประกาศในใบแจ้งรายการภาษีประจำไตรมาสที่ 4 ซึ่งกระทรวงการคลังสั่งการให้กรมสรรพากรเร่งรัดการยื่นแบบแสดงรายการรายได้ไตรมาสที่ 4 ของบริษัท Temu ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 มกราคม 2568 ตามข้อกำหนดทางกฎหมาย

การทำงานร่วมกันระหว่างกรมสรรพากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า ถือเป็นสิ่งสำคัญในการรับรองการจัดการภาษีที่ครอบคลุม และทันท่วงทีในการดำเนินการออกใบอนุญาตสำหรับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน กระทรวงการคลังยังเสนอให้มีการแก้ไขกฎหมายการจัดการภาษีเพื่อเพิ่มข้อกำหนดที่ให้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซต้องรับผิดชอบในการหักภาษีและชำระภาษีแทนธุรกิจรายย่อยบนแพลตฟอร์มอีกด้วย

 (แหล่งที่มา https://vietnamnews.vn/ ฉบับวันที่ 11 พฤศจิกายน 2567)

วิเคราะห์ผลกระทบ

กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนามกำหนดให้บริษัท Temu และ Shein ปฏิบัติตามกฎหมายของเวียดนามตามข้อกำหนด 4 ประการ ดังนี้

  1. การลงทะเบียนธุรกิจ: บริษัททั้งสองต้องทำการลงทะเบียนธุรกิจให้เสร็จสิ้นตามกฎหมายของเวียดนาม เพื่อให้สามารถดำเนินกิจการได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
  2. การหยุดกิจกรรมโฆษณาและการตลาด: ทั้ง Temu และ Shein ต้องหยุดกิจกรรมการโฆษณาและการตลาดเพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคในขณะที่กำลังดำเนินการลงทะเบียน
  3. การแจ้งเตือนผู้บริโภค: ต้องแจ้งเตือนผู้บริโภคชาวเวียดนามเกี่ยวกับกิจกรรมการลงทะเบียนที่กำลังดำเนินอยู่ผ่านแอปพลิเคชันของบริษัท
  4. การปฏิบัติตามกฎหมายภาษี: บริษัททั้งสองต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดทางภาษี โดยต้องลงทะเบียนภาษีและยื่นการประกาศภาษีตามที่กระทรวงการคลังกำหนด

ความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากแพลตฟอร์มออนไลน์ของจีนต่อธุรกิจท้องถิ่นในเวียดนามมีมากขึ้น โดยเฉพาะในด้านการแข่งขันที่อาจทำให้ธุรกิจในประเทศต้องเผชิญกับความท้าทาย เช่น การสูญเสียส่วนแบ่งตลาดและการกดดันด้านราคาจากสินค้าราคาถูกที่นำเข้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์จากจีน เช่น Temu และ Shein ซึ่งไม่ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เข้มงวดเหมือนกับธุรกิจท้องถิ่น ในขณะเดียวกันภาครัฐต้องการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนามจึงได้พยายามรักษาสมดุลระหว่างการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศและการปกป้องธุรกิจในประเทศ ด้วยการออกกฎหมายและมาตรการที่คำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน โดยเฉพาะการลงทะเบียนธุรกิจ การเก็บภาษี และการคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อให้ธุรกิจในประเทศสามารถแข่งขันได้อย่างเป็นธรรม และไม่เสียเปรียบจากแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ไม่ได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดเดียวกัน ซึ่งนโยบายเหล่านี้มุ่งเน้นการสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่โปร่งใสและมีความเป็นธรรม เพื่อให้ทั้งนักลงทุนต่างชาติและธุรกิจในประเทศสามารถเติบโตและพัฒนาไปพร้อมกัน

นำเสนอโอกาส/แนวทาง

ปัจจุบันแพลตฟอร์มจากต่างประเทศทั้งหมด เช่น Shopee, Lazada, TikTok Shop, Shein, และ Temu กำลังจัดจำหน่ายสินค้าจากประเทศจีน ซึ่งทำให้ตลาดอีคอมเมิร์ซในเวียดนามมีความเข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการดึงดูดลูกค้าด้วยสินค้าราคาถูกจากโรงงานในจีน ที่อาจจะเข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดจากผู้ผลิตในประเทศ โดยคาดการณ์ว่าประมาณต้นปี 2568 ตลาดเวียดนามจะเต็มไปด้วยสินค้าราคาถูกจากจีน ทำให้การแข่งขันระหว่างผู้ผลิตในประเทศและต่างประเทศจะรุนแรงขึ้น ผู้ผลิตในเวียดนามอาจจะต้องเผชิญกับความท้าทายในการรักษาความสามารถในการแข่งขัน เนื่องจากสินค้าจากจีนมักจะมีราคาที่ต่ำกว่าและมีกระบวนการจัดส่งที่รวดเร็วผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ในขณะที่การแข่งขันรุนแรงขึ้น รัฐบาลเวียดนามจะต้องหาวิธีในการสร้างสมดุลระหว่างการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศและการปกป้องธุรกิจในประเทศ โดยอาจจะมีการออกกฎหมายใหม่หรือมาตรการทางภาษีที่ช่วยให้ธุรกิจในประเทศสามารถแข่งขันได้อย่างเป็นธรรม และรักษาเสถียรภาพในตลาดภายในประเทศ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดการแข่งขันที่ยุติธรรมและคุ้มครองผู้บริโภคจากสินค้าคุณภาพต่ำที่อาจจะเข้ามาครอบงำตลาด

ผู้ประกอบการไทยควรให้ความสนใจในการทำตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ที่น่าเชื่อถือและปลอดภัย โดยเลือกแพลตฟอร์มที่มีความนิยมและได้รับการยอมรับในเวียดนาม เช่น Shopee, Lazada, หรือ TikTok Shop ซึ่งเป็นช่องทางที่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคจำนวนมาก และมีระบบการชำระเงินและการจัดส่งที่มีความปลอดภัยและสะดวกสบาย นอกจากนี้ การติดตามแนวโน้มการบริโภคของผู้บริโภคเวียดนามเป็นสิ่งสำคัญในการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจให้เหมาะสมกับตลาดและความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในเรื่องของราคา คุณภาพ และบริการหลังการขาย เนื่องจากผู้บริโภคเวียดนามมักมองหาสินค้าราคาย่อมเยาและการบริการที่ดี ซึ่งเป็นจุดที่ผู้ประกอบการไทยสามารถใช้ในการสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งการศึกษาพฤติกรรมการซื้อสินค้าของผู้บริโภคในเวียดนาม เช่น ความนิยมในสินค้าประเภทใด การใช้เทคโนโลยีในการช็อปปิ้ง และช่องทางการชำระเงินที่สะดวกที่สุด จะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถปรับกลยุทธ์การตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพและตอบสนองความต้องการของตลาดได้ตรงจุด การปรับตัวให้ทันกับแนวโน้มการบริโภคและใช้ช่องทางออนไลน์ที่เหมาะสม ผู้ประกอบการไทยจะสามารถขยายฐานลูกค้าและเติบโตในตลาดเวียดนามได้อย่างยั่งยืน

thThai