1. ภาคธุรกิจการค้าระหว่างประเทศในสหรัฐอเมริกาเตรียมพร้อมตั้งรับการขึ้นอัตราภาษีศุลกากร
Donald Trump ชนะได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯคนที่ 47 ทำให้ภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างประเทศเกิดความวิตกกังวลกับนโยบายที่ประกาศในระหว่างการหาเสียงว่ารัฐบาลของเขาว่าจะเน้นนโยบายขึ้นพิกัดอัตราภาษีศุลกากรครั้งใหม่ โดยจะขึ้นอัตราภาษีศุลกากรนำเข้าอย่างน้อยร้อยละ 10 กับสินค้านำเข้าส่วนใหญ่ ร้อยละ 25 กับสินค้านำเข้าจากเม็กซิโก และร้อยละ 60 กับสินค้านำเข้าจากจีน
แนวนโยบายการขึ้นพิกัดอัตราภาษีศุลกากรของ Donald Trump ส่งผลให้ธุรกิจโรงงานผลิตและผู้ค้าปลีกสหรัฐฯจะมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้นในการนำเข้าสินค้าไปจำหน่ายในสหรัฐฯหรือไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าและรวมถึงการทำบรรจุภัณฑ์ในสหรัฐฯ มีการคาดการณ์ว่าค่าขนส่งสินค้าเข้าสหรัฐฯในปี 2025 ที่จะเพิ่มสูงขึ้นเมื่อภาคธุรกิจสหรัฐฯเร่งนำเข้าก่อนที่จะมีการประกาศขึ้นพิกัดอัตราภาษีศุลกากรอย่างเป็นทางการ ค่าใช้จ่ายในการนำเข้าสินค้าและการผลิตในประเทศที่เพิ่มสูงจะส่งผลกระทบให้ราคาสินค้าในตลาดค้าปลีกเพิ่มสูง นักธุรกิจค้าปลีกจำเป็นต้องตั้งราคาที่สามารถแข่งขันได้แม้ว่าจะต้องแลกกับผลกำไรที่จะลดลง หรือต้องแสวงหาและเพิ่มช่องทางอื่นในการกระจายสินค้า
ภาคธุรกิจสหรัฐฯที่มีศักยภาพจะได้รับผลกระทบจากนโยบายขึ้นพิกัดอัตราภาษีศุลกากรมีปฏิกิริยาต่างกันออกเป็นสองทาง หลายรายวางแผนการตั้งรับแล้ว เช่น หาทางเปลี่ยนแหล่งอุปทานไปยังประเทศอื่นที่จะมีอัตราภาษีศุลกากรนำเข้าต่ำกว่าจีนหรือเม็กซิโก หรือลดการผลิตในต่างประเทศและย้ายฐานการผลิตกลับคืนสหรัฐฯ แต่อีกหลายรายยังคงเฝ้ารอฟังว่ารัฐบาลชุดใหม่จะประกาศรายละเอียดการขึ้นพิกัดอัตราภาษีศุลกากรที่ชัดเจนอย่างเป็นทางการในปีงบประมาณ 2025 ก่อนที่จะตัดสินใจ
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันรัฐบาลเม็กซิโกได้ตอบโต้แผนการสหรัฐฯที่ต้องการขึ้นพิกัดอัตราภาษีศุลกากรนำเข้าที่มีกระแสมาตั้งแต่รัฐบาลชุดประธานาธิบดี Biden แล้ว ด้วยการพิจารณาขึ้นพิกัดอัตราภาษีศุลกากรสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯแล้ว
ที่มา: ModernRetail: “We’re already feeling a squeeze’: How U.S. brands are preparing for proposed tariffs”, by Gabriela Barkho, November 13, 2024
2. ชัยชนะของ Donald Trump ส่งผลกระทบอย่างมากต่ออุตสาหกรรมอาหารทะเล
สหรัฐฯเป็นตลาดอาหารทะเลที่ใหญ่ที่สุดของหลายประเทศ เนื่องจากอุตสาหกรรมอาหารทะเลสหรัฐฯมีกำลังการผลิตไม่พอเพียง จำเป็นต้องนำเข้าอุปทานอาหารทะเลมากกว่าร้อยละ 80 ของความต้องการบริโภคภายในประเทศ ดังนั้น เมื่อ Donald Trump ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯคนที่ 47 และแสดงความุ่งมั่นสูงที่จะดำเนินนโยบายเข้มงวดเรื่องการขึ้นพิกัดอัตราภาษีศุลกากรและการต่อต้านผู้อพยพเข้าเมือง ที่เป็นเงื่อนไขสำคัญสูงสุดในการทำธุรกิจการค้าอาหารทะเล ทำให้คาดการณ์ได้ว่าหากเขาดำเนินตามนโยบายที่หาเสียงไว้จริง จะส่งผลจะส่งผลกระทบอย่างมากต่ออุตสาหกรรมอาหารทะเลในสหรัฐฯและทั่วโลก
ผู้บริหารบริษัทนำเข้าปลาหมึกรายใหญ่สุดของสหรัฐฯเชื่อว่า อุตสาหกรรมปลาหมึกจะได้รับผลกระทบจากการขึ้นพิกัดอัตราภาษีศุลกากรในอัตราประมาณร้อยละ 25 บริษัทนอร์เวย์ที่เป็นผู้ส่งออกแซลมอนไปยังสหรัฐฯรายใหญ่ที่สุดมีความวิตกกังวลในเรื่องเดียวกัน และวางแผนว่า หาก Donald Trump ขึ้นพิกัดอัตราภาษีศุลกากรจริง บริษัทฯจะเร่งสร้างและขยายฟาร์มเลี้ยงแซลมอนขึ้นในสหรัฐฯ
ผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ คาดการณ์ว่า การกลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกครั้งของ Donald Trump เขาจะแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ชุดใหม่เข้าไปบริหารควบคุมการทำงานของหน่วยงานรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับด้านการค้าระหว่างประเทศ เช่น U.S. Commerce, U.S. Customs and Border Protection และ NOAA (National Oceanic and Atmospheric Administration) ให้เข้มงวดมากขึ้นเพื่อตอบสนองนโยบายของเขา และจะทำให้ผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศจะมีมากไปกว่าเรื่องการขึ้นพิกัดอัตราภาษีศุลกากรนำเข้า แต่จะรวมถึงการเพิ่มขึ้นของการดำเนินมาตรการเรื่องภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด (antidumping และ countervailing duty) สินค้าอาหารทะเล ความเข้มงวดในเรื่องการปิดฉลากสินค้าอาหารทะเลที่เป็นการระบุสายพันธุ์ของสัตว์ทะเล เป็นต้น
ที่มา: 1. SeafoodSource: “Seafood firms react to what Trump presidency could mean for industry, economy” November 7, 2024
2. Fish Farmer: “Trump re-election sparks fear among seafood exporters”, by Vince McDonagh, November 7, 2024
3. Seafoodsource: “Trade experts predict Trump’s trade strategy will increase barriers for seafood importers”, by Chris Chase, November 12, 2024
ข้อมูลเพิ่มเติม ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะของ สคต. ลอสแอนเจลิส
ประวัติการทำงานด้านนโยบายการค้าระหว่างประเทศที่ผ่านมาในสมัยที่ Donald Trump เป็นประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐฯ ทำให้คาดการณ์ได้ว่าการหวนกลับมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯอีกครั้งของเขาจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อการค้าระหว่างประเทศและมีแนวโน้มสูงว่าจะเป็นไปในทางลบมากกว่าทางบวก
ในอดีตที่ผ่านมา ประเทศเวียดนามและเม็กซิโกได้รับประโยชน์มากที่สุดในฐานะแหล่งอุปทานทางเลือกอื่น ในครั้งนั้นประเทศไทยได้รับโอกาสเพิ่มมากขึ้นเช่นกันในฐานะแหล่งอุปทานทางเลือกอื่นนอกเหนือจากจีน แต่แผนการณ์ครั้งใหม่ของ Trump ที่จะขึ้นพิกัดอัตราภาษีศุลกากรสินค้านำเข้าจากประเทศคู่ค้าทั้งหมดเท่าเทียมกัน ยกเว้นการนำเข้า จีน และเม็กซิโก ที่จะมีอัตราฯสูงกว่าประเทศคู่ค้าอื่น อาจจะทำให้การแข่งขันเพื่อเข้าชิงส่วนแบ่งของการนำเข้าสหรัฐฯจากจีนจะเข้มข้นมากกว่าเดิม นอกจากนี้ยังเกิดความวิตกกังวลว่า รัฐบาลประธานาธิบดี Trump ชุดใหม่ อาจยกระดับการทำสงครามทางการค้ากับจีน จนถึงขั้นเข้าไปตรวจสอบและดำเนินการใดๆกับสินค้านำเข้าจากประเทศคู่ค้าในเอเซีย ที่เป็นสินค้าที่ผลิตโดยบริษัทจีนที่ย้ายฐานการผลิตเข้าไปในประเทศเหล่านั้น หรือ เป็นบริษัทผู้ผลิตรายใดๆที่ใช้วัตถุดิบจำนวนมากนำเข้าจากจีน ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างคาดไม่ถึงกับการนำเข้าสินค้าหลากหลายชนิดจากประเทศเหล่านี้ ซึ่งจะรวมถึงประเทศไทยด้วย
ในรัฐบาล Donald Trump ครั้งที่ 1 สหรัฐฯได้มีเปลี่ยนจากนโยบาย free trade เข้าสู่นโยบาย protectionism อย่างเต็มตัวและได้ดำเนินมาตรการต่างๆที่แสดงถึงเจตนาชัดเจนว่าต้องการทำสงครามทางการค้ากับจีน การกลับมาเป็นรัฐบาลสมัยที่ 2 ของ Trump ในครั้งนี้ สถานการณ์เศรษฐกิจและการเมืองในสหรัฐฯและในตลาดโลกได้เปลี่ยนไปแล้วเป็นอย่างมาก ดังนั้น จำเป็นที่จะต้องเฝ้าจับตามองว่ารัฐบาลสหรัฐฯชุดใหม่จะดำเนินนโยบายการค้าอย่างไร และจะส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศในรูปแบบใดและในระดับใด
หมายเหตุ: ข่าวข้างบนนี้เป็นข้อมูลที่ได้มาจากแหล่งข้อมูลหลายแห่งที่จัดทำและนำเสนอข้อมูลเปิดเผยต่อสาธารณชนทั่วไป และบางส่วนเป็นความเห็นส่วนบุคคล สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครลอสแอนเจลิส นำมารวบรวมเผยแพร่เพื่อแก่ผู้สนใจ เนื่องจากเป็นข้อมูลและความเห็นจากบุคคลที่สาม การนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ ไม่ว่าในกรณีใดๆ ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณเฉพาะบุคคล สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครลอสแอนเจลิส ไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายใดๆที่อาจเกิดขึ้นจากการนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครลอสแอนเจลิส