(ภาพและแหล่งที่มา https://hk.finance.yahoo.com/news)
สถาบันการเงินระดับโลกอย่างโกลด์แมน แซคส์ ได้ออกรายงานคาดการณ์เศรษฐกิจโลก ประจำปี 2568 โดยมีประเด็นสำคัญเกี่ยวกับผลกระทบที่จีนอาจต้องเผชิญกับการที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้ง โดยเฉพาะในด้านนโยบายการค้าที่อาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจจีน
ทางโกลด์แมน แซคส์ ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนในปี 2568 ลงเหลือร้อยละ 4.5 โดยมีสาเหตุหลักมาจากการคาดการณ์ว่าสหรัฐฯ จะมีการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน แม้ว่าจีนจะใช้นโยบายผ่อนคลายทางเศรษฐกิจมหภาคเพื่อบรรเทาผลกระทบ แต่ก็คาดว่าจะช่วยชดเชยได้เพียงบางส่วนเท่านั้น
รายงานระบุว่า การที่นายทรัมป์กลับมาดำรงตำแหน่งอีกครั้ง มีความเป็นไปได้สูงที่จะมีการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเฉลี่ยถึงร้อยละ 20 ซึ่งจะส่งผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนในปี 2568 ลดลงประมาณร้อยละ 0.7 นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงที่สถานการณ์อาจรุนแรงขึ้นหากมีการประกาศใช้มาตรการที่เข้มงวดมากขึ้น เช่น การยกเลิกความสัมพันธ์ทางการค้าปกติถาวร (PNTR) ระหว่างจีนและสหรัฐฯ
ในด้านผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก โกลด์แมน แซคส์ คาดการณ์ว่าการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าของสหรัฐฯ จะส่งผลให้ GDP โลกลดลงร้อยละ 0.4 และหากสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีนำเข้าร้อยละ 10 กับสินค้าจากทั่วโลก ผลกระทบอาจรุนแรงขึ้น 2-3 เท่า อย่างไรก็ตาม ประเทศที่อาจได้รับประโยชน์จากสถานการณ์นี้คือ เม็กซิโกและเวียดนาม เนื่องจากอาจมีการย้ายฐานการผลิตจากจีนไปยังประเทศเหล่านี้
ทางด้านมาตรการรับมือ จีนมีแนวโน้มที่จะใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการอัดฉีดงบประมาณ โดยคาดว่าจะเพิ่มเป้าหมายการขาดดุลงบประมาณจากร้อยละ 3.0 ในปี 2567 เป็นร้อยละ 3.6 ของ GDP ในปี 2568 พร้อมทั้งเพิ่มโควตาการออกพันธบัตรรัฐบาล นอกจากนี้ ยังอาจใช้มาตรการด้านค่าเงินและนโยบายการเงินเพื่อบรรเทาผลกระทบ
อย่างไรก็ตาม โกลด์แมน แซคส์ มองว่าความท้าทายที่แท้จริงของจีนอาจไม่ได้มาจากปัจจัยภายนอกเพียงอย่างเดียว แต่มาจากปัจจัยภายในประเทศด้วย โดยเฉพาะการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้พึ่งพาการบริโภคภายในประเทศมากขึ้น และการแก้ไขปัญหาหนี้ของรัฐบาลท้องถิ่น ซึ่งเป็นความท้าทายที่สำคัญไม่แพ้ผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ
สำหรับนักลงทุนต่างชาติ แม้ว่าความขัดแย้งทางการค้าอาจส่งผลกระทบต่อการไหลเข้าของเงินทุน แต่ความจริงก็คือนักลงทุนต่างชาติได้ขายสินทรัพย์เสี่ยงในจีนออกไปเป็นจำนวนมากแล้ว เนื่องจากความผิดหวังต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ผ่านมา ดังนั้น อนาคตของสินทรัพย์จีนจึงขึ้นอยู่กับความสามารถของรัฐบาลในการสร้างความเชื่อมั่นและวางรากฐานที่มั่นคงให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศมากกว่า
ท้ายที่สุด แม้ว่าข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดจะเริ่มมีเสถียรภาพ แต่การประชุมสภาประชาชนแห่งชาติที่ผ่านมาก็ให้รายละเอียดที่จำกัดเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ นอกเหนือจากมาตรการจัดการหนี้ของรัฐบาลท้องถิ่น ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าผู้กำหนดนโยบายของจีนกำลังรอดูท่าทีและมาตรการของรัฐบาลทรัมป์ก่อนที่จะกำหนดนโยบายตอบโต้ที่เหมาะสมต่อไป
ข้อเสนอแนะ สคต. ณ นครเฉิงตู
จากสถานการณ์ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่อาจเกิดขึ้นในปี 2568 ประเทศไทยมีโอกาสสำคัญในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการดึงดูดการลงทุนจากบริษัทที่ต้องการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน ด้วยจุดแข็งด้านทำเลที่ตั้งที่เป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียน ระบบโครงสร้างพื้นฐานที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง และนโยบายส่งเสริมการลงทุนที่น่าดึงดูด
ประเทศไทยสามารถเร่งพัฒนาโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ให้เป็นฐาน การผลิตทางเลือกที่สำคัญ โดยเน้นอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและมีมูลค่าเพิ่มสูง เช่น อุตสาหกรรม ยานยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ และการแพทย์ครบวงจร นอกจากนี้ ไทยควรใช้โอกาสนี้ในการเจรจาข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ เพื่อขยายโอกาสการส่งออกและดึงดูดการลงทุน
ในด้านการค้าระหว่างประเทศ ไทยสามารถวางตำแหน่งตัวเองเป็นห่วงโซ่อุปทานทางเลือก (Alternative Supply Chain) โดยเน้นความยืดหยุ่นและความน่าเชื่อถือในการผลิตและส่งมอบสินค้า พร้อมทั้งพัฒนาความร่วมมือกับประเทศในภูมิภาค โดยเฉพาะเวียดนามที่กำลังได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งในการเป็นฐานการผลิตร่วมของภูมิภาค
อย่างไรก็ตาม การจะคว้าโอกาสเหล่านี้ได้ ไทยจำเป็นต้องเร่งพัฒนาทักษะแรงงาน ปรับปรุงกฎระเบียบให้เอื้อต่อการลงทุน และสร้างความมั่นใจด้านเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจมหภาค เพื่อให้เป็นจุดหมายการลงทุนที่น่าสนใจในสายตานักลงทุนต่างชาติ
————————————————–
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครเฉิงตู
พฤศจิกายน 2567
แหล่งข้อมูล :
https://opinion.caixin.com/2024-11-20/102259808.html
https://hk.finance.yahoo.com/news