เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2567 นายลอเรนซ์ หว่อง (Lawrence Wong) นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ได้เดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการตามคำเชิญของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย นายหว่องได้กล่าวในงานแถลงข่าวร่วม ณ ทำเนียบรัฐบาลที่กรุงเทพฯ ว่า สิงคโปร์มีความกระตือรือร้นที่จะร่วมมือกับไทยในเรื่องเครดิตคาร์บอน[1] พร้อมชื่นชมความพยายามของไทยในการผลิตพลังงานสีเขียว รวมถึงไฮโดรเจนและเชื้อเพลิงชีวภาพ และจะเป็นการเปิดโอกาสใหม่ ๆ ให้กับบริษัทสิงคโปร์ (หากมีการลงนามในข้อตกลงความร่วมมือด้านคาร์บอนเครดิต บริษัทในสิงคโปร์ที่ต้องเสียภาษีคาร์บอนจะสามารถซื้อเครดิตคาร์บอนจากโครงการในประเทศคู่ค้าเพื่อชดเชยการปล่อยมลพิษได้สูงสุด 5%) ในขณะที่นางสาวแพทองธารกล่าวว่า ทั้งสองประเทศได้หารือถึงความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสีเขียวและการลงทุนในพลังงานหมุนเวียน เพื่อช่วยให้ทั้งสองฝ่ายบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนและการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์
ด้านการเงินดิจิทัล เมื่อ พ.ศ. 2564 สิงคโปร์และไทยเป็น
ผู้บุกเบิกการเชื่อมโยงระบบชำระเงินแบบเรียลไทม์แห่งแรกของโลก ระหว่างระบบ PayNow ของสิงคโปร์และพร้อมเพย์ (PromptPay) ของไทย ความร่วมมือนี้ช่วยให้ลูกค้าของธนาคารในสองประเทศสามารถโอนเงินข้ามประเทศได้อย่างสะดวกโดยใช้เพียงหมายเลขโทรศัพท์มือถือ นอกจากนี้ ในเดือนพฤษภาคม 2566 ตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้เปิดตัวโครงการเชื่อมโยงใบรับฝากหลักทรัพย์ไทย-สิงคโปร์ ซึ่งถือเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญในระดับตลาดหลักทรัพย์แห่งแรกในอาเซียน
ด้านความมั่นคงทางพลังงาน สิงคโปร์ได้นำเข้าพลังงานหมุนเวียนจาก สปป.ลาว สูงสุด 100 เมกะวัตต์ ผ่านไทยและมาเลเซีย ตามโครงการบูรณาการพลังงานระยะที่ 1 ระหว่าง สปป.ลาว ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ ซึ่งเปิดตัวเมื่อเดือนมิถุนายน 2565 สิงคโปร์หวังว่าประเทศไทยจะให้การสนับสนุนโครงการบูรณาการพลังงานระยะที่ 2 ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าอาเซียนให้กว้างขวางยิ่งขึ้น และจะเป็นการช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่นและความยั่งยืนด้านพลังงานให้กับภูมิภาค
ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ นายลอเรนซ์ หว่อง แสดงความพร้อมที่จะต้อนรับนายกรัฐมนตรีไทยและคู่สมรสในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ 60 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-สิงคโปร์ ในปี 2568 ซึ่งจะเป็นโอกาสสำคัญสำหรับทั้งสองฝ่ายในการติดตามความคืบหน้าของความร่วมมือในประเด็นต่างๆ เช่น อาหาร พลังงาน และการเชื่อมต่อดิจิทัล รวมถึงการสำรวจแนวทางใหม่ๆ ในการส่งเสริมประโยชน์แก่ประชาชนของทั้งสองประเทศ และกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
ด้านความมั่นคงทางอาหาร ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับสิงคโปร์ เนื่องจากสิงคโปร์ต้องพึ่งพาการนำเข้าอาหารเป็นหลัก สิงคโปร์ยังคงพยายามอย่างต่อเนื่องในการเพิ่มความมั่นคงด้านอาหารผ่านการพัฒนานวัตกรรมและการสร้างความร่วมมือในระดับภูมิภาค
ด้านระดับภูมิภาค นายหว่องระบุว่าสิงคโปร์ไม่ได้มุ่งเน้นเฉพาะความสัมพันธ์ทวิภาคีกับไทยเท่านั้น แต่ยังทำงานร่วมกับไทยในฐานะส่วนหนึ่งของอาเซียนด้วย อาเซียนมีศักยภาพมหาศาลในการเป็นศูนย์กลางการเติบโตทางเศรษฐกิจระดับโลก ด้วยตลาดที่หลากหลาย ประชากรขนาดใหญ่ และโครงสร้างประชากรที่อายุน้อย เพื่อเพิ่มศักยภาพของอาเซียนให้สูงสุด จำเป็นต้องเร่งการบูรณาการเศรษฐกิจในภูมิภาค โดยประเทศไทยในฐานะประธานกรอบข้อตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลของอาเซียน มีบทบาทสำคัญในการผลักดันการบูรณาการเศรษฐกิจดิจิทัลของอาเซียนให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมโยงทางดิจิทัลที่แข็งแกร่งและยั่งยืนให้กับภูมิภาค
ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ
ความร่วมมือระหว่างสิงคโปร์และไทยมีความแข็งแกร่งมาอย่างยาวนานในด้านการค้า การลงทุน และการป้องกันประเทศ การขยายความร่วมมือไปยังด้านใหม่ ๆ เช่น ความมั่นคงทางอาหารและพลังงาน เศรษฐกิจสีเขียว และการเชื่อมต่อดิจิทัล ถือเป็นโอกาสสำคัญที่จะสร้างการเติบโตร่วมกัน นอกจากนี้ การส่งเสริมความร่วมมือระดับภูมิภาคในประเด็นเหล่านี้ยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของทั้งสองประเทศ และสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย
ทั้งนี้ ในปี 2566 การค้าทวิภาคีระหว่างประเทศไทยและสิงคโปร์มีมูลค่า 41.78 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ และเป็นคู่ค้ารายใหญ่เป็นอันดับ 9 ของกันและกัน
ประเทศไทยและสิงคโปร์เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวในแต่ละประเทศมาโดยตลอด ในปี 2566 มีรายงานว่ามีนักท่องเที่ยวจากสิงคโปร์เดินทางมาประเทศไทย 1.9 ล้านคน และนักท่องเที่ยวจากประเทศไทยเดินทางมาสิงคโปร์ประมาณ 450,000 คน
ในด้านการลงทุน สิงคโปร์เป็นนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่เป็นอันดับสองของไทยในปี 2566 โดยมีมูลค่า 4.8 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ การลงทุนดังกล่าวอยู่ในภาคส่วนต่าง ๆ เช่น บริการทางการเงินและประกันภัย การผลิต การค้าส่งและค้าปลีก และอสังหาริมทรัพย์
[1] ขณะนี้ สิงคโปร์มีข้อตกลงการร่วมมืด้านคาร์บอนเครดิตกับปาปัวนิวกินีและกานา แต่ยังไม่มีการซื้อขายเกิดขึ้น
แหล่งที่มาข้อมูล/ภาพ :
https://www.straitstimes.com/singapore/pm-wong-to-visit-thailand-on-nov-28