ประธานาธิบดี คลอเดีย เชนบาม (Claudia Sheinbaum) ได้ลงนามในกฤษฎีกาปรับเพิ่มภาษีนำเข้าเป็น 15% สำหรับสินค้าบางรายการในกลุ่มสิ่งทอที่นำเข้ามาเป็นชิ้นส่วนในการผลิต และเพิ่มเป็น 35% สำหรับสินค้าในกลุ่มเครื่องนุ่งห่ม มาตรการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของอุตสาหกรรมในประเทศ โดยการปรับเพิ่มภาษีนำเข้าดังกล่าวเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2568 – 23 เมษายน 2569 ทั้งนี้ จะมีผลกับสินค้านำเข้าจากทุกประเทศยกเว้นประเทศที่มีความตกลงการค้าเสรีกับเม็กซิโก
เพื่อการปกป้องการจ้างงานและอุตสาหกรรมในประเทศ นายมาร์เซโล เอบราด (Marcelo Ebrard) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจของเม็กซิโก เปิดเผยว่ามาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมสิ่งทอที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจเม็กซิโก โดยการผลิตในอุตสาหกรรมนี้มีสัดส่วน 1.9% ของอุตสาหกรรมการผลิตทั้งหมด มีการสร้างงานโดยตรงให้กับประชากรมากกว่า 400,000 คน และสร้างการจ้างงานทางอ้อมในบริการที่ต่อเนื่องอีกกว่า 200,000 คน โดยในปี 2567 การผลิตในอุตสาหกรรมนี้หดตัวถึง 4.8% ส่งผลให้มีการสูญเสียงานแล้วกว่า 79,000 ตำแหน่ง โดยเฉพาะในรัฐที่เป็นฐานการผลิตสิ่งทอสำคัญในเม็กซิโก เช่น Puebla, Hidalgo, Coahuila, Guanajuato, และ Jalisco
สินค้าที่เพิ่มภาษีนำเข้าเป็นการชั่วคราว ประกอบด้วย สินค้าสิ่งทอ จำนวน 17 รายการ เครื่องนุ่งห่ม จำนวน 138 รายการ นอกจากนี้ ยังมีสินค้าเครื่องนุ่งห่มอีกจำนวน 321 รายการ ที่ห้ามนำเข้าภายใต้โครงการ Program of the Manufacturing, Maquiladora and Export Services Industry (IMMEX) ซึ่งเป็นโครงการที่สนับสนุนให้บริษัทต่างชาติเข้ามาตั้งฐานการผลิตในเม็กซิโกโดยให้แรงจูงใจทางภาษี เช่น ลดภาษีนำเข้าและยกเว้น VAT สำหรับวัตถุดิบและส่วนประกอบ โดยมีเงื่อนไขว่าบริษัทที่เข้าร่วมโครงการจะต้องส่งออกสินค้าอย่างน้อย 80% ของที่นำเข้า ภายในระยะเวลา 6 – 12 เดือน ทั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้สินค้าเหล่านี้เข้าสู่ตลาดในประเทศโดยไม่ได้เสียภาษี อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาพบว่ากว่า 48% ของสินค้าที่นำเข้าภายใต้โครงการ IMMEX ไม่ได้ถูกส่งออกตามข้อกำหนดและกระจายเข้าสู่ตลาดเม็กซิโก ซึ่งเป็นการกดดันราคาสินค้าในประเทศและสร้างความเสียเปรียบให้แก่ผู้ผลิตของเม็กซิโก ดังนั้น มาตรการภายใต้ระเบียบใหม่จะเป็นการป้องกันปัญหาดังกล่าวและสร้างสภาพแวดล้อมทางการค้าที่เป็นธรรมมากขึ้น
ความท้าทายของอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มในเม็กซิโก ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 – 2566 อุตสาหกรรมสิ่งทอมีอัตราการหดตัวเฉลี่ย 4% ต่อปี เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มที่มีอัตราการหดตัวเฉลี่ย 5.1% ต่อปี โดยมีปัจจัยที่เป็นความท้าทายดังนี้
- การแข่งขันจากประเทศในเอเชีย โดยเฉพาะจีน ซึ่งมีราคาสินค้าที่ต่ำกว่า ได้สร้างแรงกดดันต่อต้นทุนการผลิตและความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิตในเม็กซิโก
- ยังขาดเทคโนโลยีและนวัตกรรมการผลิตสมัยใหม่ รวมถึงยังต้องการฝึกอบรมเพื่อเพิ่มทักษะและพัฒนาฝีมือแรงงาน
- การเข้าถึงแหล่งเงินทุนเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเติบโตและการขยายตัวของธุรกิจในภาคส่วนสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม โดยเฉพาะสำหรับ MSMEs ยังขาดสภาพคล่องและเงินทุนหมุนเวียนซึ่งส่งผลกระทบต่อความสามารถในการลงทุนในเทคโนโลยี การจ้างบุคลากรที่มีคุณภาพ
โอกาสของไทย การเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มการปกป้องตลาดภายในประเทศเม็กซิโกที่เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งในระยะสั้นอาจส่งผลกระทบทำให้ความสามารถในแข่งขันของสินค้าบางรายการจากไทยในตลาดเม็กซิโกลดลง อย่างไรก็ตาม ไทยยังคงมีโอกาสในบางมิติ โดยเฉพาะการส่งออกวัตถุดิบหรือสินค้าเฉพาะทางที่เม็กซิโกไม่สามารถผลิตได้เองและต้องพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ เช่น ผ้าไหม เส้นใยพิเศษหรือสิ่งทอที่ใช้ในเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง รวมไปจนถึงสินค้าที่มี มีความปราณีต มีการออกแบบและดีไซน์ที่ทันสมัย นอกจากนี้ ในระยะยาวสินค้าไทยอาจมีโอกาสจากการทดแทนสินค้านำเข้าจากจีน เนื่องจากการประกาศปรับเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มดังกล่าว ถูกหลายฝ่ายมองว่ามีเป้าหมายในการกีดกันสินค้าจากจีน รวมถึงการแสดงให้สหรัฐฯ เห็นว่าเม็กซิโกได้ดำเนินการเพื่อป้องกันสินค้าจากจีนไม่ให้ทะลักเข้ามาในเม็กซิโก และใช้เม็กซิโกเป็นทางผ่านเข้าสหรัฐฯ ทั้งนี้ จากสถิติการนำเข้าปัจจุบันเม็กซิโกนำเข้าสินค้าสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มปีละกว่า 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ โดยนำเข้าสูงสุดจากจีน คิดเป็นสัดส่วนกว่า 38% ของการนำเข้าทั้งหมด รองลงมาได้แก่สหรัฐ (24%) และไทยอยู่อันดับ 17 มีสัดส่วนเพียง 0.8% ของการนำเข้ารวมของเม็กซิโก ดังนั้น สินค้าสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มจากไทยยังมีโอกาสเติบโตอีกมากในเม็กซิโก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากรัฐบาลเม็กซิโกต้องหาแหล่งนำเข้าอื่นทดแทนสินค้าจากจีน
——————————————————————
ที่มา
Thai 
English 
Chinese 
Japanese 
German