เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักข่าวรอยเตอร์ ได้รายงานว่า ทีมงานเปลี่ยนถ่ายของว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ 2.0 ได้มีการเสนอแผนนโยบายยุทธศาสตร์สำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าหรือรถ EV ในสหรัฐฯ โดยสำนักข่าวรอยเตอร์ได้อ้างอิงเอกสารที่ได้รับจากแหล่งข่าวที่ไม่ได้มีการเปิดเผยข้อมูลที่ใดมาก่อนซึ่งในเนื้อหาของแผนนโยบายดังกล่าวนับเป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายอุตสาหกรรมรถ EV ของรัฐบาลไบเดนอย่างสิ้นเชิง โดยมีสาระสำคัญ สรุปได้ดังนี้
• เสนอให้มีการตัดงบอุดหนุนเงินเครดิตภาษีสำหรับผู้ซื้อรถ EV เป็นเงิน 7,500 เหรียญสหรัฐ และเพิ่มมาตรการความแข็งแกร่ง เพื่อการสกัดกั้นรถ EV จากจีน รวมทั้งอุปกรณ์ชิ้นส่วน แร่ธาตุ และแบตเตอรี่ที่นำเข้าจากจีน
• ให้มีการจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าแบตเตอรี่จากทั่วโลก เพื่อเป็นการสนับสนุนและกระตุ้นภาคการผลิตในสหรัฐฯ แต่ให้มีการยกเว้นการเก็บภาษีนำเข้าเป็นรายประเทศที่มีการเจรจากับสหรัฐฯ
• ให้ความสำคัญด้านงบการป้องกันประเทศ โดยผันงบการสร้างสถานีชาร์จจากแหล่งเงินกองทุนมูลค่า 7.5 พันล้านเหรียญสหรัฐภายใต้รัฐบาลไบเดนที่ยังคงเหลือไปเป็นงบโครงการการผลิตแร่ธาตุแบตเตอรี่ สำหรับห่วงโซ่อุปทานและโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน ประกอบกับปัจจัยสนับสนุนจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐ ที่เน้นจุดอ่อนทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับจีนที่เป็นผู้ครองตลาดเหมืองแร่ และการแปรรูปแร่ธาตุที่สำคัญ รวมทั้งแร่แกรไฟต์และแร่ลิเธียมที่เป็นวัตถุดิบสำคัญต่อการผลิตแบตเตอรี่ รวมโลหะที่หายากเพื่อการผลิตมอเตอร์สำหรับรถ EV และเครื่องบินทหาร ซึ่งทีมงานเปลี่ยนถ่ายได้เน้นว่า แบตเตอรี่ และแร่ธาตุ ล้วนมีความสำคัญและเป็นผลประโยชน์ต่อสหรัฐฯ ในการผลิตรถ EV
• เสนอให้มีการใช้มาตรการภาษี 232 โดยทำการขึ้นภาษีนำเข้าห่วงโซ่อุปทานรถ EV รวมทั้งแบตเตอรี่ แร่ธาตุที่สำคัญและส่วนประกอบของเครื่องชาร์จรถ EV โดยมีเป้าหมายเพื่อความมั่นคงของประเทศเป็นหลัก และเพื่อเป็นการจำกัดการนำเข้าสินค้าจากจีน แม้ว่าเมื่อเร็วๆ นี้ รัฐบาลไบเดนได้มีมาตรการการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าหลายรายการจากจีนไปแล้วก็ตาม แต่ภายใต้รัฐบาลทรัมป์ 2.0 ทีมงานเปลี่ยนถ่ายได้มีการเสนอให้ครอบคลุมสินค้าแบตเตอรี่ แร่ลิเทียม แร่แกรฟไฟต์ และชิ้นแม่เหล็กถาวรที่ใช้เป็นส่วนประกอบในการผลิตมอเตอร์รถ EV และที่เกี่ยวข้องกับการทหาร
• เสนอให้มีการละเว้นการพิจารณาทบทวนข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อเป็นการเร่งดำเนินการผันเงินกองทุนของรัฐบาลกลางเพื่อไปใช้ในการดำเนินโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานต่างๆ รวมทั้งการผลิตและการรีไซเคิลแบตเตอรี่
• เสนอให้มีการแก้ไขมาตรฐานระดับการปล่อยไอเสียของเครื่องยนต์ โดยให้ย้อนกลับไปใช้ระดับมาตรฐานของปี 2562 ที่อนุญาตให้รถแต่ละคันปล่อยไอเสียในระดับโดยเฉลี่ยร้อยละ 25 ต่อไมล์ เมื่อเทียบกับข้อกำหนดของปี 2568 ที่การปล่อยไอเสียอยู่ในระดับต่ำกว่าโดยเฉลี่ยร้อยละ 15
• เสนอให้มีการปิดกั้นกฎระเบียบท้องถิ่นของรัฐแคลิฟฟอร์เนียที่เข้มงวดต่อระดับการปล่อยไอเสียของเครื่องยนต์ ซึ่งมีรัฐอื่นๆ อีกหลายรัฐนำไปปฏิบัติใช้เช่นกัน แต่ในสมัยรัฐบาลทรัมป์ 1.0 ได้ทำการปิดกั้นกฎระเบียบดังกล่าว แต่เปลี่ยนกลับไปใช้แบบเดิมในสมัยรัฐบาลไบเดน นอกจากนี้รัฐแคลิฟฟอร์เนียได้มีการยื่นขอสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมสหรัฐอเมริกา หรือ EPA ในการบังคับใช้ข้อกำหนดในปี 2569 โดยให้รถยนต์ทุกชนิดในรัฐแคลิฟฟอร์เนียเป็นรถ EV หรือรถพลังงานไฟฟ้าและน้ำมัน (Plug-in Hybrid) หรือรถไฮโดรเจน ซึ่งทางสำนักงาน EPA ในสมัยรัฐบาลไบเดนไม่ได้ทำการอนุมัติตามคำร้องขอของรัฐแคลิฟฟอร์เนียแต่อย่างไร
• ให้มีการขยายข้อกำหนดต่างๆ ในการส่งออกเทคโนโลยี่แบเตอรี่ไปยังประเทศที่มิใช่เป็นมิตรกับสหรัฐฯ
• ให้การสนับสนุนภาคการส่งออกแบตเตอรี่รถ EV ทื่ผลิตในสหรัฐ โดยการสนับสนุนผ่านธนาคารการส่งออก/นำเข้าของสหรัฐฯ
• ให้ใช้มาตรการการจัดเก็บภาษีนำเข้า ซึ่งจัดเป็น “เครื่องมือในการเจรจาต่อรอง” ในการเปิดตลาดส่งออกรถยนต์ของสหรัฐฯ ไปจำหน่ายยังตลาดต่างประเทศ รวมทั้งรถ EV
• ให้ยกเลิกข้อกำหนดในการจัดซื้อรถ EV เพื่อการใช้งานของหน่วยงานรัฐบาลกลาง สืบเนื่องจากนโยบายรัฐบาลไบเดนที่กำหนดให้ทุกหน่วยงานของรัฐบาลกลางใช้รถยนต์นั่งและรถบรรทุกขนาดเล็กที่ไร้มลพิษภายในปี 2570
• ให้ยุติโครงการของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ในการซื้อหรือการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าทางทหาร
หากมีการดำเนินการตามแผนนโยบายของทีมงานเปลี่ยนถ่ายในการตัดงบอุดหนุนเครดิตภาษีสำหรับผู้ซื้อรถ EV เป็นเงิน 7,500 เหรียญสหรัฐ จะมีผลกระทบต่อยอดขายรถ EV โดยรวมในตลาดสหรัฐฯ โดยเฉพาะผู้ประกอบการค่ายรถ General Motors และ Hyundai จะได้รับผลกระทบโดยตรงเนื่องจากเพิ่งมีการเปิดตัวรถ EV ในตลาดเมื่อไม่นานมานี้ รวมทั้งค่ายรถ Tesla ที่ครองตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐฯ โดยมีนายอิลอน มัสก์เป็นผู้สนับสนุนทรัมป์ในการเลือกตั้งเป็นเงินกว่า 250 พันล้านเหรียญสหรัฐ
นอกจากนี้ นโยบายการฟื้นฟูสนับสนุนพลังงานฟอสซิลของรัฐบาลทรัมป์ 2.0 มีแนวโน้มในทิศทางบวก ทำให้ค่ายรถยนต์หลายค่าย ไม่ว่าจะเป็น Volvo Ford และ Toyota ต่างหันมาปรับกลยุทธ์ตามสถานการณ์ อีกทั้งหลายฝ่ายต่างคาดการณ์ว่า ทรัมป์ อาจจะถอนสหรัฐฯ ออกจาก “ความตกลงปารีส” ซึ่งเป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่ให้การสนับสนุนพลังงานสะอาด
ภาคการส่งออกสินค้าชิ้นส่วนยานยนต์ของไทยควรพิจารณาการเตรียมการและการตั้งรับที่จะได้รับผลกระทบจากมาตราทางการค้าไม่มากน้อย รวมทั้งภาครัฐควรพิจารณาให้ความสำคัญในการเจรจาต่อรองทางการค้ากับสหรัฐฯ ในมิติการค้าอื่นๆ
ที่มา: Exclusive: Trump transition team plans sweeping rollback of Biden EV, emissions policies | Reuters