บริษัทขนส่งทางเรือยักษ์ใหญ่อันดับสามของโลก เตรียมลงทุนในโครงการเรือขนส่งสินค้าพลังงานไฟฟ้า (E-barge) ที่เวียดนาม

กลุ่ม CMA-CGM ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ด้านการขนส่งและโลจิสติกส์จากฝรั่งเศส และเป็นบริษัทขนส่งตู้คอนเทนเนอร์อันดับสามของโลก ได้ประกาศโครงการเรือขนส่งสินค้าพลังงานไฟฟ้า (E-barge) ในประเทศเวียดนาม โดยเรือขนส่งสินค้าพลังงานไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่จะทำการขนส่งสินค้าระหว่างจังหวัดบิ่นห์เยือง (Binh Duong) และท่าเรือน้ำลึกเจมาลิงค์ (Gemalink) ในจังหวัดบาเรีย-หวุงเตา ซึ่งกลุ่ม CMA-CGM จะถือหุ้นในโครงการนี้ถึงร้อยละ 25

บริษัทขนส่งทางเรือยักษ์ใหญ่อันดับสามของโลก เตรียมลงทุนในโครงการเรือขนส่งสินค้าพลังงานไฟฟ้า (E-barge) ที่เวียดนาม

การเดินทางของเรือขนส่งสินค้าพลังงานไฟฟ้าในระยะทาง 180 กิโลเมตรแต่ละครั้ง คาดว่าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่งทางน้ำภายในประเทศ พร้อมกับลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 778 ตันต่อปี นอกจากนี้ โครงสร้างพื้นฐานสำหรับการชาร์จเรือจะได้รับการสนับสนุนจากฟาร์มพลังงานแสงอาทิตย์ที่เพิ่งสร้างเสร็จที่ท่าเรือน้ำลึก ซึ่งสามารถผลิตไฟฟ้าได้ถึง 1 กิกะวัตต์/ชั่วโมงต่อปี เรือขนส่งสินค้าพลังงานไฟฟ้านี้ได้รับการออกแบบร่วมกันโดยทีมวิจัยและพัฒนาของ CMA-CGM และผู้ผลิตแบตเตอรี่ชั้นนำอย่าง CATL โดยคาดว่าเมื่อเริ่มดำเนินการในปี 2569 เรือจะสามารถขนส่งสินค้าได้มากกว่า 50,000 TEUs ต่อปี

โครงการนี้ยังสะท้อนถึงความร่วมมือที่ใกล้ชิดระหว่าง CMA-CGM และ NIKE ซึ่งมีแผนจะใช้เรือขนส่งสินค้าพลังงานไฟฟ้าสำหรับการขนส่งสินค้าของ NIKE จากจังหวัดบิ่นห์เยืองไปยังท่าเรือน้ำลึกเจมาลิงค์ โครงการนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยเสริมสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจในภาคใต้ของเวียดนาม แต่ยังเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในด้านพลังงานทดแทนและโลจิสติกส์

บริษัทขนส่งทางเรือยักษ์ใหญ่อันดับสามของโลก เตรียมลงทุนในโครงการเรือขนส่งสินค้าพลังงานไฟฟ้า (E-barge) ที่เวียดนาม

เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2567 นาย Mathieu Friedberg รองประธานอาวุโสของกลุ่ม CMA-CGM ได้แจ้งกับนาย Tran Hong Ha รองนายกรัฐมนตรีเวียดนาม ว่ากลุ่มบริษัทมีแผนที่จะลงทุนในโครงการเรือขนส่งสินค้าพลังงานไฟฟ้าที่จะดำเนินงานตามเส้นทางน้ำภายในประเทศ

ปัจจุบันกลุ่ม CMA-CGM ดำเนินการเส้นทางขนส่งทางเรือ 4 เส้นทาง โดยให้บริการ 6 ท่าเรือระหว่างประเทศในเวียดนาม และเชื่อมโยงเวียดนามกับยุโรป สหรัฐอเมริกา และจุดหมายสำคัญอื่น ๆ ผ่านเส้นทางการเดินเรือระหว่างประเทศ 15 เส้นทาง กลุ่ม CMA-CGM มีพนักงานกว่า 160,000 คนใน 160 ประเทศ และมีเรือมากกว่า 650 ลำที่เชื่อมต่อกับ 400 ท่าเรือทั่วโลก

 (แหล่งที่มา https://tuoitrenews.vn/ ฉบับวันที่ 20 ธันวาคม 2567)

วิเคราะห์ผลกระทบ

กลุ่ม CMA-CGM ก่อตั้งขึ้นในปี 2521 และปัจจุบันได้กลายเป็นบริษัทขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ที่ใหญ่ที่สุดของฝรั่งเศส และใหญ่เป็นอันดับสามของโลก ด้วยการดำเนินงานที่ครอบคลุมสายการเดินเรือมากกว่า 250 สาย และให้บริการท่าเรือพาณิชย์กว่า 420 – 521 แห่งทั่วโลก ซึ่งทำให้กลุ่มฯ มีอิทธิพลและความสำเร็จในระดับสากล โดยในปี 2566 รายได้ของกลุ่มฯ อยู่ที่ 47,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตัวเลขที่สะท้อนถึงการเติบโตและความแข็งแกร่งของธุรกิจที่มีต่ออุตสาหกรรมการขนส่งทั่วโลก

กลุ่ม CMA-CGM เริ่มต้นการดำเนินธุรกิจในเวียดนามตั้งแต่ปี 2532 ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการขยายธุรกิจในภูมิภาคนี้เท่านั้น แต่ยังเป็นการสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในระยะยาวและวิสัยทัศน์ที่มุ่งสู่ความยั่งยืนในด้านโลจิสติกส์ โดยกลุ่มฯ ได้ตั้งเป้าหมายในการลดการปล่อยคาร์บอน (Decarbonization) และมุ่งมั่นที่จะบรรลุการปล่อยก๊าซคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ปัจจุบัน กลุ่ม CMA-CGM ให้บริการขนส่งสินค้าผ่าน 29 เส้นทางหลักต่อสัปดาห์ จากท่าเรือ 7 แห่งในเวียดนาม

ความสำเร็จของโครงการต่าง ๆ ที่ดำเนินการโดยกลุ่ม CMA-CGM รวมถึงโครงการร่วมกับธุรกิจฝรั่งเศส ถือเป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงถึงการพัฒนาความร่วมมือระหว่างทั้งสองประเทศ ซึ่งไม่เพียงแต่จะเสริมสร้างความสัมพันธ์ในด้านเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังยกระดับความสัมพันธ์ไปสู่การร่วมมือที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นทั้งในด้านธุรกิจและความมั่นคงทางเศรษฐกิจ  ความร่วมมือนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการขยายขอบเขตความร่วมมือในอนาคต และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานหลังจากที่ฝรั่งเศสกลายเป็นประเทศแรกในสหภาพยุโรปที่มีความร่วมมือเชิงกลยุทธ์อย่างครอบคลุมกับเวียดนามในเดือนตุลาคม 2567

นำเสนอโอกาส/แนวทาง

การลงทุนของกลุ่ม CMA-CGM ในโครงการเรือบรรทุกไฟฟ้าของเวียดนามสอดคล้องกับเป้าหมาย “Net-Zero ภายในปี 2593” ของเวียดนาม ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาและยกระดับการขนส่งทางน้ำภายในประเทศ โดยเฉพาะการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในกระบวนการขนส่ง รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของท่าเรือให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น การลงทุนในโครงการนี้ยังเป็นการส่งสัญญาณสำคัญให้กับบริษัทเดินเรือจากทั่วโลกที่กำลังมองหาความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจ เข้ามาใช้บริการในเวียดนาม ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในอุตสาหกรรมการขนส่งระดับโลก

การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของท่าเรือจะมีผลในด้านการสร้างรายได้ให้กับกลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์ รวมถึงกลุ่มการค้าส่งและการค้าปลีก ซึ่งจะช่วยขยายตลาดและโอกาสในการลงทุนในเวียดนามให้กับผู้ประกอบการต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ส่งออกและนักลงทุนไทยที่กำลังมองหาช่องทางในการขยายตลาดธุรกิจโลจิสติกส์และการขนส่งสินค้าในเวียดนาม

ในระยะยาว การพัฒนาระบบท่าเรือและการขนส่งที่มีประสิทธิภาพและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจะช่วยอำนวยความสะดวกในการนำเข้าและกระจายสินค้าภายในเวียดนาม รวมถึงเสริมสร้างความสะดวกในการส่งออกสินค้าจากไทยมายังเวียดนาม ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนและเวลาในการขนส่งสินค้า ทำให้การค้าระหว่างทั้งสองประเทศมีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น เป็นโอกาสที่ดีในการขยายธุรกิจและสร้างความแข็งแกร่งให้กับตลาดโลจิสติกส์ในภูมิภาคอาเซียน

thThai