รัฐบาลยกเลิกการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มในวันสิ้นปี

เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดส่งท้ายปีเมื่อรัฐบาลอินโดนีเซียตัดสินใจยกเลิกแผนปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่นโยบายอันเป็นที่ถกเถียงนี้จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2568 ประธานาธิบดีปราโบโว สุเบียนโตและรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ศรี มุลยานี อินทราวาตี ประกาศเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่าการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 11 เปอร์เซ็นต์เป็น 12 เปอร์เซ็นต์จะใช้กับสินค้าและบริการฟุ่มเฟือยเท่านั้น

สินค้าฟุ่มเฟือยดังกล่าวได้แก่ เครื่องบินส่วนตัว เรือสำราญ เรือยอชต์ และอสังหาริมทรัพย์ที่มีราคาตั้งแต่ 3 หมื่นล้านรูเปียห์ (1.85 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ขึ้นไป รวมถึงการซื้อรถยนต์และมอเตอร์ไซค์หรูก็จะได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน

“วันนี้ รัฐบาลตัดสินใจว่าการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 11 เปอร์เซ็นต์เป็น 12 เปอร์เซ็นต์จะใช้กับสินค้าและบริการฟุ่มเฟือยที่ต้องเสียภาษีสินค้าฟุ่มเฟือยอยู่แล้วและมีการจับจ่ายใช้สอยโดยกลุ่มผู้มีรายได้สูงเท่านั้น” ปราโบโวกล่าวกับผู้สื่อข่าวในการแถลงข่าวที่สำนักงานกระทรวง

“สินค้าและบริการอื่นๆ ทั้งหมดที่เรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 11 เปอร์เซ็นต์แล้วจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง” ศรี มุลยานี กล่าวในการบรรยายสรุปเดียวกัน

การตัดสินใจดังกล่าวพลิกกลับคำประกาศบางส่วนของรัฐบาลเมื่อวันที่ 16 ธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งในตอนนั้นส่งผลให้ราคาผู้บริโภคพุ่งสูงขึ้นและสร้างความตื่นตระหนกเป็นวงกว้างท่ามกลางวิกฤตค่าครองชีพที่เพิ่มมากขึ้น ทางการในขณะนั้นกล่าวว่ารัฐบาลจะดำเนินการตามแผนที่จะขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มเป็น 12 เปอร์เซ็นต์ทั้งหมด ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 โดยระบุข้อยกเว้นสำหรับน้ำตาลอุตสาหกรรม แป้งสาลี และน้ำมันปรุงอาหารราคาย่อมเยาที่จำหน่ายในโครงการของรัฐบาล

การปรับขึ้นภาษีดังกล่าวมีกำหนดไว้ในกฎหมายฉบับที่ 7/2021 ว่าด้วยการปรับอัตราภาษี ซึ่งกำหนดให้ปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มจากร้อยละ 10 เป็นร้อยละ 11 ในวันที่ 1 เมษายน 2565 ตามด้วยการปรับขึ้นเป็นร้อยละ 12 ในวันที่ 1 มกราคม 2568 ในประกาศเดียวกันนั้น รัฐบาลยังเสนอแรงจูงใจหลายประการเพื่อลดผลกระทบต่อผู้บริโภค ซึ่งรวมถึงการเบิกจ่ายข้าวสำหรับครัวเรือนที่ยากจน และส่วนลดค่าไฟฟ้าร้อยละ 50 สำหรับครัวเรือนที่เชื่อมต่อกับโครงข่ายไฟฟ้าที่ใช้กระแสไฟฟ้าสูงสุด 2,200 โวลต์-แอมแปร์ โดยมาตรการดังกล่าวทั้งหมดจะเริ่มดำเนินการในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ ปี 2568 นอกจากนี้ มาตรการอื่นๆ ยังรวมถึงการยกเว้นภาษีบางส่วนสำหรับการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า รถยนต์ไฮบริด และบ้านอีกด้วย

แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายอย่างกะทันหัน ทั้งประธานาธิบดีและรัฐมนตรีกระทรวงการคลังของอินโดนีเซียต่างก็ยืนยันว่าโครงการสมทบทุนกลุ่มเป้าหมายจะยังคงมีผลบังคับใช้ในปี 2568 ศรี มุลยานียังรับรองว่าอาหารหลักบางประเภท เช่น ข้าว เนื้อวัว ปลา และผัก จะยังคงได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มทั้งหมด นอกจากนี้ รัฐมนตรียังกล่าวเสริมว่า สินค้าและบริการอื่นๆที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม อย่าง ระบบขนส่งสาธารณะ บริการทางการเงิน การศึกษาและบริการด้านสุขภาพ จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ

ในช่วงไม่กี่วันก่อนวันส่งท้ายปีเก่า ผู้คนหลายพันคนได้มีการชุมนุมในเมืองหลายแห่งทั่วอินโดนีเซีย เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม เนื่องจากผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะมีกำลังซื้อลดลง ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ธุรกิจต่างๆ ยังได้ขอให้รัฐบาลเลื่อนการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มออกไป โดยให้เหตุผลว่าการขึ้นภาษีอาจสร้างแรงกดดันอย่างรุนแรงต่อกำลังซื้อของประชาชน ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าจะทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัวลง

มูคามาด มิสบาคุน ประธานคณะกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 11 ซึ่งทำหน้าที่กำกับดูแลการเงินและงบประมาณของรัฐ แสดงความยินดีกับการดำเนินการดังกล่าว โดยระบุว่าสิ่งนี้จะช่วยหลีกเลี่ยงภาระเพิ่มเติมให้กับประชาชนทั่วไป เขากล่าวในแถลงการณ์เมื่อวันอังคารว่า การจำกัดการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มให้เฉพาะกับสินค้าฟุ่มเฟือยและบริการต่างๆ คาดว่าจะทำให้รัฐบาลได้รับรายได้จากภาษีเพิ่มเติมเพียง 3.2 ล้านล้านรูเปียห์ในปี 2568 ในขณะที่หากใช้นโยบายดังกล่าวโดยครอบคลุม รายได้ประมาณการจากภาษีเพิ่มเติมจะคิดเป็นถึง 75 ล้านล้านรูเปียห์

“นี่เป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากสำหรับรัฐบาลของประธานาธิบดีปราโบโว” มิสบาคุนกล่าว ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม รัฐบาลของปราโบโวได้วางแผนโครงการอันทะเยอทะยานมากมาย ซึ่งแม้ว่าโครงการเหล่านั้นจะได้รับความนิยมเป็นส่วนใหญ่และอิงตามคำมั่นสัญญาที่ได้ให้ไว้ในตอนหาเสียง แต่ก็ต้องใช้เงินทุนจากรัฐจำนวนมหาศาล ประธานาธิบดียังได้พิจารณาแนวคิดในการเพิ่มฐานภาษีของอินโดนีเซียเพื่อเพิ่มรายได้ของรัฐและตอบสนองความต้องการด้านงบประมาณสำหรับการพัฒนา

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม สมาชิกรัฐสภาเสนอให้ปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับสินค้าฟุ่มเฟือยบางประเภทก่อน โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2568 หลังจากนั้นจึงค่อยมีผลบังคับใช้กับสินค้าอื่นๆ ทั้งหมดได้ การตัดสินใจล่าสุดที่ประกาศเมื่อวันอังคารสอดคล้องกับข้อเสนอแนะของสมาชิกรัฐสภา แต่ยังคงต้องติดตามกันต่อไปว่าในที่สุดแล้ว รัฐบาลจะงดเว้นการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับสินค้าและบริการอื่นๆ หรือไม่

ความคิดเห็นของสำนักงาน

การเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งนี้เน้นย้ำถึงความสมดุลที่ละเอียดอ่อนระหว่างความรอบคอบทางการคลังและความรู้สึกของประชาชน แม้ว่าจะกล่าวถึงความกังวลในปัจจุบัน แต่ยังคงมีคำถามเกี่ยวกับแนวโน้มระยะยาวของนโยบายภาษีของอินโดนีเซียและผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ แนวทางของรัฐบาลสะท้อนถึงความอ่อนไหวต่อการต่อสู้ดิ้นรนของประชาชนในขณะที่ยังคงมุ่งมั่นต่อวัตถุประสงค์ทางการคลัง อย่างไรก็ตาม เมื่อสภาพเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไป รัฐบาลอาจต้องทบทวนการเปลี่ยนแปลงภาษีมูลค่าเพิ่มในวงกว้างขึ้นเพื่อบรรลุเป้าหมายของการพัฒนาที่ทะเยอทะยาน

ในอนาคตอันใกล้ นโยบายนี้อาจเปลี่ยนไปเป็นสินค้าที่นำเข้าทั่วไปซึ่งไม่ได้มีผลบังคับใช้กับภาษีมูลค่าเพิ่ม 12% อันใหม่นี้ เนื่องจากมีการจำกัดภาษีมูลค่าเพิ่มใหม่เฉพาะกับสินค้าฟุ่มเฟือยและบริการ รัฐบาลจะได้รับเพียง 3.2 ล้านล้านรูเปียห์จากการจัดเก็บภาษีพิเศษ ในขณะที่อาจได้รับถึง 75 ล้านล้านรูเปียห์ หากใช้นโยบายนี้กับผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆโดยครอบคลุม โดยเฉพาะรัฐบาลอินโดนีเซียที่พยายามหาเงินทุนเพิ่มเติมสำหรับบางส่วนในโครงการพัฒนาการพึ่งพาตนเองทางด้านอาหาร

thThai