เมื่อวันที่ 22 ธันวาคมที่ผ่านมา กระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมงของญี่ปุ่นได้จัดการประมูลข้าวนำเข้าครั้งที่ 3 ประจำปีงบประมาณ 2567 โดยราคาขายให้กับผู้ประกอบการอยู่ในระดับสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มใช้ระบบในปี 2538 ความต้องการข้าวนำเข้าที่มีราคาถูกกว่าข้าวในประเทศเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาข้าวในประเทศพุ่งสูงขึ้น
การประมูลในวันที่ 22 ครอบคลุมข้าวจำนวน 25,000 ตัน จาก 10 ประเทศและภูมิภาค เช่น สหรัฐอเมริกา ไต้หวัน และเวียดนาม ข้าวทั้งหมดถูกประมูลออกไป โดยราคาขายเฉลี่ยในหมวดข้าวทั่วไปอยู่ที่ 443 เยนต่อกิโลกรัม (ไม่รวมภาษี) ซึ่งเป็นราคาสูงสุดในประวัติการณ์
บริษัทค้าส่งข้าวรายใหญ่ “Kitoku Shinryo คิโตคุชินเรียว” ระบุว่า “เราได้รับการติดต่อสอบถามจากธุรกิจร้านอาหารและอาหารสำเร็จรูปที่ไม่เคยใช้ข้าวนำเข้ามาก่อนเป็นจำนวนมาก” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้น โดยปัจจัยเบื้องหลังคือราคาข้าวในประเทศที่พุ่งสูงขึ้น เนื่องจาการผลิตในปี 2566 ไม่เพียงพอ เนื่องจากความต้องการจากนักท่องเที่ยวต่างชาติและผลกระทบจากแผ่นดินไหวซึ่งทำให้ความต้องการข้าวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิปี 2567 เป็นต้นมา อุปทานและอุปสงค์มีความตึงตัว
กลุ่มเครือร้านอาหารเป็นกลุ่มที่ต้องการข้าวนำเข้ามากที่สุด เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนข้าวที่จำเป็นในเมนูของพวกเขาเป็นผลกระทบที่สำคัญ ผู้ประกอบการบางรายใช้วิธีนำข้าวนำเข้ามาผสมกับข้าวในประเทศ ผู้จัดหาวัตถุดิบให้แก่เครือร้านอาหารรายใหญ่รายหนึ่งกล่าวว่า “การหาข้าวในประเทศเป็นเรื่องยากขึ้น เราจำเป็นต้องใช้ข้าวนำเข้าอย่างสมดุล”
ในซูเปอร์มาร์เก็ต ข้าวใหม่วางจำหน่ายในราคาที่สูงกว่าปีก่อนหน้าถึง 40-80% คาดว่าระดับของสินค้าคงคลังในปี 2568 คงไม่เปลี่ยนแปลงมากนักเมื่อเทียบกับปีนี้ และยังไม่เห็นปัจจัยที่จะทำให้ราคาลดลง ขณะเดียวกัน ซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่บางแห่งเริ่มจำหน่ายข้าวต่างประเทศ เช่น SEIYU ที่เริ่มวางขายข้าวไต้หวันตั้งแต่วันที่ 14 ธันวาคมที่ผ่านมาด้วยราคาที่ถูกกว่าข้าวในประเทศประมาณ 20% และมีการตอบรับที่ดีมาก ความแตกต่างของราคาข้าวนำเข้าและข้าวในประเทศลดลง ราคาขายข้าวขาวพันธุ์เมล็ดกลางของข้าวเจ้าอยู่ที่ 471 เยนต่อกิโลกรัม (รวมภาษี) ซึ่งเพิ่มขึ้น 86 เยนจากครั้งที่ 2 ที่ 385 เยน ราคาข้าวในประเทศ ณ เดือนตุลาคม 2567 อยู่ที่ 397 เยน (เฉลี่ยจากแบรนด์ทั่วประเทศ) เนื่องจากราคาข้าวในประเทศเป็นราคาข้าวเปลือก ราคาหลังการสีจะสูงขึ้นอีก จึงมีเสียงตอบรับว่า “ข้าวนำเข้าซึ่งมีราคาถูกกำลังลดลง”
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย
ในการประมูลครั้งที่ 3 ราคาข้าวไทยอยู่ที่ 502 เยนต่อกิโลกรัม (ไม่รวมภาษี) เพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าจาก 221 เยน (ไม่รวมภาษี) ในเดือนมีนาคม 2567 ความต้องการข้าวไทยสำหรับบริโภคในญี่ปุ่นส่วนใหญ่มาจากร้านอาหารเอเชียและการทำอาหารเอเชียในครัวเรือน แม้ว่าเงินเยนที่อ่อนค่าและราคาสินค้าที่สูงขึ้นจะทำให้ร้านอาหารต่างๆ มีแนวโน้มปรับราคาขึ้น แต่ส่วนใหญ่มักเพิ่มขึ้นเพียงไม่กี่สิบเยนต่อเมนู ทำให้ร้านอาหารไทยหลายแห่งอาจต้องลดปริมาณข้าวที่เสิร์ฟลง ซึ่งอาจนำไปสู่การลดความต้องการได้ นอกจากนี้ ราคาขายปลีกข้าวไทย เช่น ข้าวสารและข้าวบรรจุห่อสำหรับบริโภค ก็กำลังปรับราคาขึ้นอย่างต่อเนื่อง การเพิ่มขึ้นของราคาขายครั้งนี้อาจทำให้ราคาสูงขึ้นอีกและความต้องการลดลงในอนาคต
ฉบับที่ 9 ประจำวันที่ 23 – 29 พฤศจิกายน 2567
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
แปลและเรียบเรียงจาก
หนังสือพิมพ์ Nikkei Shimbun ฉบับวันที่ 23 พฤศจิกายน 2567