ในปี 2024 ดัชนีตลาดหุ้นเยอรมัน (DAX) เคาะทำสถิติสูงสุดมากกว่า 40 ครั้ง เหตุผลหลักมาจากการที่ผู้ถือหุ้นคาดหวังกับอนาคตนั่นเอง เหตุนี้เองทำให้ตลาดหุ้นถือเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี การประเมินสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของบริษัทเยอรมันกลับเป็นไปในทิศทางตรงกันข้ามกับตลาดหุ้น สมาคมธุรกิจ 31 จาก 49 สมาคม ที่สถาบันเศรษฐศาสตร์เยอรมนี (IW – das Institut der deutschen Wirtschaft) มีความไกล้ชิดกับผู้จ้างงานได้ทำการสำรวจในช่วง 5 สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้ข้อสรุปว่าสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันในช่วงเปลี่ยนผ่านปีนี้ เลวร้ายยิ่งกว่าปีที่ 2023 โดยมีเพียง 4 ใน 49 สมาคม เท่านั้นที่ให้คะแนนสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบันดีกว่าปี 2023 สิ่งสำคัญที่ลืมไม่ได้ก็คือ ในการสำรวจเดียวกันปี 2023 ทำให้ต้องคำนึงว่า บริษัทส่วนใหญ่คาดการณ์กันว่า พวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์เศรษฐกิจที่เลวร้ายอยู่แล้ว เหตุผลนี้เองที่ทำให้พื้นฐานการเปรียบเทียบลดลงในครั้งนี้ ซึ่งการประเมินสถานการณ์ในเชิงลบนั้นยังคงมีอยู่ ซึ่งสำนักข่าว Handelsblatt ขอสรุปผลลัพธ์อย่างไม่เป็นทางการผ่านแบบสอบถามดังกล่าวล่วงหน้า ดังนี้
สาเหตุของปัญหามีหลากหลายไม่ว่าจะเป็น (1) ต้นทุนพลังงาน (2) ค่าแรงที่สูงขึ้น และ (3) ราคาวัสดุที่สูง สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดปัญหาต่อภาคเอกชน นอกจากนี้ ระบบราชการที่ทำให้ต้องใช้เวลากับระบบราชการเพิ่มมากขึ้น อาทิ “พ.ร.บ. การตรวจสอบสถานะห่วงโซ่อุปทาน (Lieferkettensorgfaltspflichtengesetz)” ที่บังคับใช้กับบริษัทเอกชนต่าง ๆ มาตั้งแต่ปี 2023 โดยต้องกรอกฟอร์มต่าง ๆ เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับบริษัทอุตสาหกรรมหลายแห่งที่เน้นธุรกิจส่งออก เพื่อที่จะสามารถแสดงหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการผลิตข้ามพรมแดนในผลิตภัณฑ์ของตนแบบสมบูรณ์แบบได้ นาย Michael Hüther ผู้อำนวยการ IW กล่าวกับ Handelsblatt ว่า “ปัญหามากมายที่บริษัทต่าง ๆ กำลังเผชิญหน้าอยู่ในปัจจุบันเป็นเรื่องที่น่ากังวลค่อนข้างมาก” ซึ่งนาย Hüther ได้กล่าวต่ออีกว่า “สถานการณ์โลกที่ไม่แน่นอนส่งผลเสียกับการส่งออก ประกอบกับความวุ่นวายและความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศได้ส่งผลเสียต่อแนวโน้มและทิศทางของการลงทุนในประเทศ โดยเฉพาะเกี่ยวกับการลงทุนในเครื่องจักร เทคโนโลยี หรือยานพาหนะใหม่ ๆ”
มีการกล่าวกันว่า “ในปี 2025 กำลังการผลิตจะลดลง” โดยจากการสำรวจสมาคม 20 จาก 49 สมาคม คาดว่า ในปี 2025 การผลิตจะลดลง และ 16 สมาคม คาดว่า การผลิตจะเพิ่มขึ้น สมาคมที่คาดการณ์เชิงลบ ได้แก่ อุตสาหกรรมการก่อสร้าง อุตสาหกรรมอาหาร การขายส่ง และการค้าต่างประเทศ รวมถึงอุตสาหกรรม และธุรกิจที่มีการจ้างงานจำนวนมาก อย่างธุรกิจวิศวกรรมเครื่องกล และโรงงาน โดยภาคอุตสาหกรรมประเมินสถานการณ์เชิงลบที่สุด แม้ว่าแนวโน้มขาลงภาคอุตสาหกรรมได้เร่งตัวขึ้นแล้วในปีก่อนหน้า โดยในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2024 ยอดขายของภาคอุตสาหกรรมในเยอรมนีลดลง 4.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2023 จากการศึกษาโดยบริษัท EY ซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านการจัดการพบว่า ภาควิศวกรรมไฟฟ้า อุตสาหกรรมยานยนต์ และวิศวกรรมเครื่องกล ยอดขายแย่ลงมาก ซึ่งมีเหตุผลหลักมาจากอุปสงค์ในประเทศกำลังซบเซา เมื่อมองปี 2025 อุตสาหกรรมวิศวกรรมเครื่องกล คาดว่า การผลิตต่อปีจะลดลงติดต่อกันเป็นครั้งที่ 3 นาย Bertram Kawlath ประธานสมาคมฯ ระบุว่า ปัญหาสงคราม ข้อพิพาททางการค้า และการประสบความสำเร็จจากการเลือกตั้งของกลุ่มพรรคหัวรุนแรง เป็นปัจจัยลบต่อการดำเนินธุรกิจ ซึ่งนาย Kawlath เรียกร้องให้ “ยุติกฎระเบียบที่มากจนเกินไป ยุติข้อกำหนดเส้นทางการใช้เทคโนโลยีที่คับแคบ และยุติภาระต้นทุนที่สูงเกินไปในเยอรมนี”
ในปี 2025 “ภาคเอกชนจะลดการลงทุนลง” จากดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจระดับผู้บริหาร (Geschäftsklimaindex) ของสถาบันเพื่อการวิจัยทางเศรษฐกิจมหาวิทยาลัยมิวนิค (Ifo – Institut für Wirtschaftsforschung an der Universität München) ซึ่งเป็นตัวเลขสำคัญสำหรับระบบเศรษฐกิจของเยอรมนี ได้มีความหวังเพียงเล็กน้อย โดยในปีนี้จากผลการสำรวจบริษัทกว่า 9,000 แห่ง พบว่า ในเดือนธันวาคม 2024 ดัชนีฯ ลดลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิปี 2020 เท่ากับช่วงที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด – 2019 ด้านนาย Clemens Fuest ประธาน Ifo แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อมูลล่าสุดว่า “ความอ่อนแอเรื้อรังของเศรษฐกิจเยอรมันกำลังทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น” ผลที่ตามมา ของความอ่อนแอที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องก็คือ บริษัทลดการใช้จ่ายเพื่ออนาคตของตนลง สมาคมที่ตอบแบบสำรวจมีเพียง 9 สมาคมจาก 49 แห่ง คาดว่า จะมีการขยายการลงทุน ขณะที่ 20 สมาคม คาดว่า จะมีการลดรายจ่ายด้านดังกล่าวลง หนึ่งในนั้นก็คือ อุตสาหกรรมยานยนต์ซึ่งเป็นที่อุตสาหกรรมมีการจ้างงานจำนวนมาก การปรับลดการลงทุนยังอยู่ในระหว่างดำเนินการในอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานจำนวนมาก อย่าง อุตสาหกรรมเหล็ก โรงหล่อ การแปรรูปโลหะ เซรามิก แก้ว และพลาสติก เช่นเดียวกับในธุรกิจก่อสร้าง และงานฝีมือ อีกด้วย อย่างไรก็ตาม การลงทุนไม่เพียงแค่หายไปเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการโยกย้ายการลงทุน จากการสำรวจโดยสมาคมผู้สร้างเครื่องจักรและโรงงานเยอรมนี (VDMA -Verband Deutscher Maschinen- und Anlagenbau) พบว่า 72% ของสมาชิก มีความประสงค์ที่จะขยายธุรกิจในสหรัฐฯ มากกว่าครึ่งต้องการย้ายการผลิตหรือเข้าไปดำเนินธุรกิจในประเทศสหรัฐอเมริกา นาย Jan Brorhilker สมาชิกคณะกรรมการบริหารของบริษัทที่ปรึกษา EY กล่าวว่า “ปัจจุบันในต่างประเทศมีข้อเสนอและโอกาสในการพัฒนาที่ดีกว่าในเยอรมนีอย่างเห็นได้ชัด ประเทศเหล่านี้ไม่เพียงมีความสำคัญในฐานะตลาดรองรับสินค้าจากเยอรมนีเท่านั้น แต่เริ่มมีความสำคัญในฐานะฐานการผลิตอีกด้วย”
อย่างไรก็ดีในปี 2025 บริษัทต่าง ๆ กำลังวางแผนลดพนักงานลง โดยประเมินกันว่า การผลิตที่ลดลงและความตั้งในการลดการลงทุนลง กำลังส่งผลกระทบต่อแผนการจ้างงาน สมาคมกว่า 25 สมาคมคาดว่าจะลดพนักงานลงมีเพียง 7 สมาคม เท่านั้นที่คาดว่า จะมีการจ้างพนักงานเพิ่มขึ้น มีแนวโน้มที่จะมีลดพนักงานลงในอุตสาหกรรมอย่าง อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า วิศวกรรมเครื่องกล การก่อสร้าง จำนวนสมาคมที่คาดว่าว่า จะลดการจ้างงานลงเพิ่มขึ้นจาก 16 สมาคมเป็น 23 สมาคม และตอนนี้เพิ่มขึ้นเป็น 25 สมาคมจากการสำรวจ 3 ครั้งล่าสุด นาย Hüther กล่าวว่า “การเลิกจ้างงานเกิดขึ้นในภาคอุตสาหกรรมเป็นหลัก โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมที่รูปแบบธุรกิจยังไม่มีความชัดเจน ซึ่งการปรับลดนี้ไม่ใช่แค่การปรับกำลังการผลิตเท่านั้น” IW คาดว่า ในปีหน้า จำนวนผู้ว่างงานจะเกิน 3 ล้านคน และคาดว่า ค่าเฉลี่ยจำนวนผู้ว่างงานต่อปีจะอยู่ที่ 2.9 ล้านคน โดยมีอัตราการว่างงานอยู่ที่ 6.2% ปัจจุบันมีคนว่างงาน 2.77 ล้านคนคิดเป็น 5.9% จากการสำรวจครั้งก่อนโดย IW กับการสำรวจบริษัทมากกว่า 2,000 แห่งบริษัทเยอรมัน กว่า 4 ใน 10 บริษัทต้องการลดการจ้างงานลงในปี 2025
โอกาสของปี 2025 เยอรมนียังมีความหวังอยู่บ้าง โดยระยะการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางได้สิ้นสุดลงแล้ว ซึ่งบริษัทอสังหาริมทรัพย์ได้เริ่มประเมินสถานการณ์ของตนดีขึ้นแล้ว สินเชื่ออสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มที่จะทยอยลดลง ซึ่งจะช่วยผลักดันธุรกิจก่อสร้าง ในขณะเดียวกันก็ช่วยให้มั่นใจได้ว่า มูลค่าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์จะไม่ลดลง อุตสาหกรรมงานแสดงสินค้าก็เป็นหนึ่งในกลุ่มที่กลับมามองสถานการณ์เป็นเชิงบวกเช่นกัน โดยเมื่อพิจารณาถึงการผลิตที่สูงขึ้นในปี 2025 บริษัทเวชภัณฑ์ ยา อุตสาหกรรมพลังงาน และน้ำ อุตสาหกรรมการจัดการของเสีย และการเกษตร ล้วนอยู่ในกลุ่มที่มองสถานการณ์เชิงบวก อุตสาหกรรมยานยนต์ ไฟฟ้า เหล็กและเหล็กกล้า ที่ได้ดิ้นรนสู้มาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว ต่างก็เริ่มขยายความเชื่อมั่นมากขึ้นกว่าเดิม กลุ่มธนาคารและธนาคารออมสิน (Sparkassen) คาดกันว่า ธุรกิจของเขาจะมีเสถียรภาพสูงขึ้น เมื่อสิ้นสุดนโยบายอัตราดอกเบี้ยเป็นศูนย์ของธนาคารกลางยุโรปก็ยังคงส่งผลเชิงบวกกับพวกเขาอยู่ ซึ่งนโยบายนี้ยังส่งผลให้สถาบันการเงินมีรายได้จากดอกเบี้ยสูงขึ้น ในบางภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจความคาดหวังเชิงบวกเกี่ยวกับการผลิตที่ดีขึ้นทำให้เกิดการมองสถานการณ์การประกอบธุรกิจเชิงบวก เมื่อพูดถึงจำนวนการจ้างงานก็เป็นไปได้ที่จะมีการจ้างงานในธุรกิจเหล่านี้เพิ่มขึ้น อุตสาหกรรมหลัก เช่น อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอาหาร ตลอดจนการค้าส่ง และการค้าปลีก ไม่มีแนวโน้มที่จะปลดพนักงงานและมีการจ้างงานที่มั่นคง นอกจากนี้ บริษัทส่วนใหญ่ในอุตสาหกรรมยา อุตสาหกรรมพลังงาน น้ำ และการจัดการของเสีย สันนิษฐานว่า ในปี 2025 จำนวนพนักงานจะเพิ่มขึ้นในระดับของปีที่ 2024 ซึ่งอีกหนึ่งข่าวดี ก็คือ ไม่มีสัญญาณว่า การจ้างงานทั่วทั้งภาคส่วนจะลดลง นาย Hüther ผู้อำนวยการ IW เห็นว่า “ไม่มีแนวโน้มที่จำนวนคนว่างงานจะสูงถึงห้าล้านคน ดังที่เราเคยประสบในเยอรมนีเมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว”
จาก Handelsblatt 10 มกราคม 2568