หน่วยงานการลงทุนที่มีรัฐบาลเป็นเจ้าของ (State-Owned Investors: SOIs) มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก และมีการคาดการณ์ว่ามูลค่าทรัพย์สินรวมของ SOIs ทั่วโลกอาจแตะ 60 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ  ภายในปี 2568 โดยกลุ่มประเทศความร่วมมืออ่าวอาหรับ Gulf Cooperation Council หรือกลุ่มประเทศ GCC  ซึ่งรวมประเทศสมาชิกอย่างเช่น ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์หรือยูเออี กาตาร์ โอมาน บาห์เรน และคูเวต มีเป้าหมายที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้หลากหลายมากขึ้นเพื่อลดการพึ่งพารายได้จากน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ด้วยการลงทุนผ่านกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (Sovereign Wealth Funds: SWFs)และองค์กรรัฐวิสาหกิจอื่น ๆ

ตามรายงานของ Global SWF  ระบุในปี 2567 กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ ได้บรรลุจุดสำคัญ โดยมีมูลค่ารวมของสินทรัพย์ที่อยู่ภายใต้การจัดการ (Assets Under Management: AUM) สูงถึง 13 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ  ซึ่งชี้ให้เห็นถึงบทบาทที่เพิ่มขึ้นของ SWFs ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกและเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงินของประเทศต่างๆ

การกระจายตัวของสินทรัพย์ SWFs

  1. ประเทศในกลุ่มสภาความร่วมมือรัฐอ่าว (GCC) เช่น ซาอุดีอาระเบีย ยูเออี และกาตาร์ มีบทบาทสำคัญ โดยรวมสินทรัพย์กว่า 38% ของ SWF ทั่วโลก โดยการลงทุนมุ่งเน้นไปที่โครงสร้างพื้นฐาน พลังงานทดแทน และเทคโนโลยี
  2. จีนจัดการ SWFs ที่คิดเป็น 20% ของสินทรัพย์ทั่วโลก ซึ่งส่วนใหญ่ลงทุนในโครงการพัฒนาเศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงการขยายความเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์
  3. นอร์เวย์มี SWF ที่ใหญ่ที่สุดในโลก คือ Government Pension Fund Global (GPFG) ซึ่งมีมูลค่ามากกว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และมุ่งเน้นการลงทุนในหุ้นและพันธบัตรทั่วโลกด้วยแนวทางการบริหารที่ยั่งยืนและโปร่งใส
  4. เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (10%) ประเทศในภูมิภาคนี้ เช่น สิงคโปร์และมาเลเซีย มีบทบาทเพิ่มขึ้น โดยมี SWFs สำคัญ เช่น GIC และ Temasek Holdings ของสิงคโปร์ ซึ่งลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี การเงิน และพลังงาน

ปัจจัยสำคัญการลงทุน

  1. การลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐาน หน่วยงานการลงทุนที่มีรัฐบาลเป็นเจ้าของ (SOIs) โดยเฉพาะใน GCC ได้ขยายการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น เมืองอัจฉริยะ (Smart Cities) และพลังงานทดแทน เช่น โครงการ NEOM ของซาอุดีอาระเบีย
  2. การขยายการลงทุนข้ามพรมแดน GCC มุ่งเน้นการลงทุนในตลาดต่างประเทศในภาคส่วนที่หลากหลาย เช่น เทคโนโลยี สุขภาพ และอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างผลตอบแทนระยะยาวและเสริมความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
  3. การสนับสนุนนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจยั่งยืน รัฐบาลใน GCC มีการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจที่เน้นความยั่งยืน เช่น วิสัยทัศน์ Vision 2030 ของซาอุดีอาระเบีย และนโยบาย Net Zero Carbon ของ UAE ที่มุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
  4. การปรับโครงสร้างกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ GCC ได้เร่งปรับปรุงการบริหารจัดการกองทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างความโปร่งใส รวมถึงดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ

ทั้งนี้ ในปี 2567 งบดุลของนักลงทุนที่รัฐเป็นเจ้าของ (SOIs) ได้แตะระดับสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่เกือบ 55 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยการเติบโตนี้ได้รับแรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์ในกลุ่มสำคัญสามประเภท ได้แก่

  1. กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (Sovereign Wealth Funds: SWFs)
    • มีสินทรัพย์รวมประมาณ 13 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
    • การลงทุนเน้นในภาคส่วนที่เติบโตอย่างรวดเร็ว เช่น พลังงานทดแทน เทคโนโลยี และโครงสร้างพื้นฐาน
    • GCC คิดเป็น 38% ของสินทรัพย์ SWFs ทั่วโลก และมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านการลงทุนเชิงกลยุทธ์
  2. กองทุนบำนาญสาธารณะ (Public Pension Funds: PPFs)
    • สินทรัพย์ขยายตัวเป็น 25 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
    • การขยายตัวของ PPFs มาจากการลงทุนที่หลากหลายและการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้เข้าร่วมระบบบำนาญในหลายประเทศ
    • เน้นการลงทุนระยะยาวในตลาดทุน พันธบัตร และสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐาน
  3. ธนาคารกลาง (Central Banks: CBs)
    • เพิ่มทุนสำรองเงินตราต่างประเทศขึ้น 6% เป็น 9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
    • การเพิ่มทุนสำรองนี้สะท้อนถึงความพยายามของหลายประเทศในการเสริมสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเงิน

คาดว่า ปี 2568  SOIs จะมีสินทรัพย์รวมแตะ 60 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศ GCC และการลงทุนในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูง เช่น พลังงานสีเขียวและเทคโนโลยีดิจิทัล และปี 2573 อาจเพิ่มขึ้นถึง 75 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างเศรษฐกิจใน GCC ซึ่งลดการพึ่งพารายได้จากน้ำมันเป็นปัจจัยสำคัญ

การลงทุนในอนาคต

1.      ภูมิภาคที่โดดเด่น

แม้ว่า กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (SWFs) ในกลุ่มประเทศ GCC จะขยายการลงทุนไปยังตลาดเกิดใหม่ แต่ เศรษฐกิจพัฒนาแล้ว ยังคงเป็นจุดหมายปลายทางหลักของการลงทุน โดยมีตลาดสำคัญดังนี้:

  • สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย อิตาลี และเยอรมนี เป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ เนื่องจากเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและโอกาสในโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยี
  • อินเดีย จีน และอินโดนีเซีย ยังคงมีบทบาทสำคัญในฐานะตลาดเกิดใหม่ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและพลังงานสะอาด

2.      การจัดสรรตามอุตสาหกรรม

  • สินทรัพย์จริง (Real Assets) คิดเป็น 50% ของเงินทุนที่ลงทุน โดยเน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น พลังงานทดแทนและระบบขนส่ง
  • ภาคเทคโนโลยี กลับมาฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง หลังจากเผชิญความผันผวนในช่วงก่อนหน้า เนื่องจากความก้าวหน้าด้าน AI การเปลี่ยนผ่านดิจิทัล และพลังงานสะอาด
  • ภาคอสังหาริมทรัพย์ แม้ว่าจะมีการปรับฐาน แต่ยังคงมีความน่าสนใจในกลุ่มเมืองสำคัญที่กำลังพัฒนา
  • Healthcare อุตสาหกรรม และสินค้าอุปโภคบริโภค ลดลงทั้งในมูลค่าและจำนวนดีล เนื่องจากความกดดันทางเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค

3.      แนวโน้มในภาคสินเชื่อเอกชน (Private Credit)

  • ภาคสินเชื่อเอกชน ได้รับแรงผลักดัน โดยมีธุรกรรมขนาดใหญ่กว่า 12 รายการ ในปี 2024
  • การลงทุนใน หุ้นส่วนทั่วไป (General Partners) ยังคงเป็นกลยุทธ์ที่ได้รับความนิยม โดยเฉพาะจากนักลงทุนในอาบูดาบี
  • การถอนการลงทุน (Divestment) และการใช้ตลาดรอง (Secondary Markets) เพิ่มมากขึ้นในหมู่นักลงทุนที่รัฐเป็นเจ้าของ เพื่อปรับโครงสร้างพอร์ตการลงทุนและเพิ่มสภาพคล่อง

สรุป & แนวโน้ม

การลงทุนในเทคโนโลยีและพลังงานสะอาด : SWFs ทั่วโลกกำลังปรับตัวเพื่อรองรับแนวโน้มเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Economy) และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เช่น AI และพลังงานทดแทน

  • การกระจายความเสี่ยง : การลงทุนข้ามพรมแดนในภาคส่วนที่หลากหลายยังคงเป็นเป้าหมายสำคัญ เพื่อป้องกันความผันผวนทางเศรษฐกิจและเสริมสร้างผลตอบแทนระยะยาว
  • ความโปร่งใสและการบริหารจัดการที่ยั่งยืน : SWFs หลายแห่งได้เพิ่มความโปร่งใสใน การดำเนินงาน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและเพิ่มบทบาทในการพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับโลก

การเติบโตของ SWFs ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการบริหารจัดการทรัพย์สินของรัฐอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งไม่เพียงช่วยสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ แต่ยังสามารถสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาระดับชาติและระดับนานาชาติได้อย่างยั่งยืน จากแนวโน้มดังกล่าว GCC มีศักยภาพที่จะกลายเป็นศูนย์กลางการลงทุนระดับโลก โดยการใช้ SOIs เป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว ขณะเดียวกัน การเติบโตของ SOIs สะท้อนถึงความสำเร็จในการบริหารจัดการสินทรัพย์ของรัฐ ซึ่งไม่เพียงช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจในประเทศเจ้าของ แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการสร้างสมดุลทางการเงินในระดับโลก สะท้อนถึงความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของการบริหารจัดการทรัพย์สินของรัฐในยุคเศรษฐกิจโลกาภิวัตน์ ในบริบทภูมิรัฐศาสตร์ กองทุนความมั่งคั่งของซาอุดีอาระเบีย   ยูเออี และกาตาร์ ล้วนแต่มีบทบาทสำคัญในการสร้างเสถียรภาพและเพิ่มอิทธิพลของประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลางและบนเวทีโลก

—————————————–

thThai