ข้อมูลจาก Ultra Finance ผู้ให้บริการสินเชื่อที่ไม่ใช่ธนาคารคาดว่าจำนวนธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง ลดลงอย่างมาก ในปี 2024 SMEs 50,000 รายปิดตัวลง และปีหน้าจะเกิด Shock wave และมีธุรกิจใหม่เปิดขึ้น 46,000 แห่ง นับเป็นปีที่สองติดต่อกันที่มียอดสุทธิลดลง ซึ่งเหตุการณ์ที่แท้จริงที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจในปี 2025 เนื่องจากเจ้าของธุรกิจจะต้องรับมือกับผลพวงจากสงครามที่กินเวลานาน 15 เดือนนี้
ธุรกิจ SMEs เข่น ช่างทำผม ไกด์นำเที่ยว เจ้าของร้าน นักบัญชี ช่างภาพ ฟรีแลนซ์ และซัพพลายเออร์ทุกรูปแบบต่างดิ้นรนเพื่อให้กิจการดำเนินต่อไป โดยได้รับผลกระทบจากความต้องการที่ลดลง การยกเลิกคำสั่งซื้อ การจัดหาเงินทุนที่หายากและมีราคาแพงขึ้น และความช่วยเหลือของรัฐบาลที่ไม่เพียงพอในช่วงสงครามที่ยังคงดำเนินต่อไป
นาย Yonatan Brand ซีอีโอของ Ultra Finance เปิดเผยกับ The Times of Israel ว่า “มีสิ่งผิดปกติที่น่าเป็นห่วงก็คือ แม้จะเผชิญกับความท้าทาย แต่การลดลงสุทธิของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมกลับลดลงในระดับปานกลาง ซึ่งชี้ให้เห็นว่าผลกระทบทางเศรษฐกิจที่แท้จริงจะเกิดขึ้นในปี 2025 ที่จะมีการดำเนินคดีล้มละลายและการเลิกกิจการของบริษัทอีกมากมาย ซึ่งเรายังไม่ได้เห็นเนื่องจากกระบวนการทางศาลล่าช้า และมีมาตรการชั่วคราวต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสงคราม เช่น การหยุดชำระเงินกู้สำหรับผู้ที่ถูกเรียกตัวให้ปฏิบัติหน้าที่สำรอง”
การคาดการณ์ที่ดูสิ้นหวังนี้น่าเป็นห่วงกังวล เนื่องจากบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กถือเป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจอิสราเอล จากข้อมูลของ Ultra Finance พบว่ามีธุรกิจที่ดำเนินการอยู่ประมาณ 600,000 แห่งในอิสราเอล ซึ่งมากกว่า 90% เป็นธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก และมากกว่า 50% จ้างคนงาน 1 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเจ้าของกิจการ บริษัทนี้ให้บริการโซลูชันการระดมทุนแบบปรับแต่งได้สำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กหลายพันแห่ง
ในปี 2023 มีจำนวนธุรกิจลดลงสุทธิอย่างรวดเร็วถึง 19,000 แห่ง เนื่องจากมีธุรกิจเปิดดำเนินการ 49,700 แห่ง เมื่อเทียบกับ 68,700 แห่งที่ต้องปิดตัวลง โดยหลายธุรกิจได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น อัตราเงินเฟ้อ และความวุ่นวายทางการเมืองที่เกิดขึ้นหลายเดือนจากการเสนอให้ปฏิรูประบบตุลาการ
นับตั้งแต่สงครามปะทุขึ้นจากการโจมตีอันโหดร้ายในวันที่ 7 ตุลาคม 2023 โดยกลุ่มก่อการร้ายฮามาส ธุรกิจขนาดเล็กหลายแห่งต้องหยุดดำเนินการ เนื่องจากเจ้าของธุรกิจ ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นพนักงานคนเดียวที่ถูกเรียกตัวไปปฏิบัติหน้าที่เป็นทหารกองหนุน มีคนที่รักโศกเศร้าหรือต้องอพยพออกจากบ้าน
“ความเสียหายของภาระหน้าที่สำรองต่อธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางนั้นร้ายแรงมาก” “แม้ว่าพนักงาน 50 เปอร์เซ็นต์ของธุรกิจขนาดใหญ่จะถูกเรียกตัวไปปฏิบัติหน้าที่ทางทหารในช่วงที่สงครามรุนแรงที่สุด แต่พนักงาน 50 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือยังคงต้องทำงานอยู่ ในขณะที่พนักงาน 50 เปอร์เซ็นต์ของธุรกิจขนาดเล็กที่มีพนักงานเพียงหนึ่งหรือสองคนขาดหายไป หมายความว่าธุรกิจนั้นไม่สามารถดำเนินต่อไปได้”
นอกจากนี้ ความล่าช้าที่เกี่ยวข้องกับสงครามในการเริ่มก่อสร้างและงานโครงการอื่นๆ ในทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจส่งผลให้การชำระเงินแก่ซัพพลายเออร์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทขนาดเล็กและขนาดกลาง อัตราการล้มละลายของธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางเพิ่มขึ้น 15% ในปี 2024 เมื่อเทียบกับปี 2023 นอกจากนี้ ข้อมูลยังระบุด้วยว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การเลิกกิจการโดยปิดชำระบัญชีโดยสมัครใจของธุรกิจยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก 1,200 ธุรกิจในปี 2020 เป็น 1,500 ธุรกิจในปี 2023
ที่น่ากังวล คือ ถึงแม้ว่าบริษัทขนาดเล็กและขนาดกลางจะมีส่วนสนับสนุนผลผลิตของประเทศประมาณ 55% ซึ่งแซงหน้าภาคเทคโนโลยีขั้นสูง แต่บริษัทเหล่านี้กลับเข้าถึงสินเชื่อทางธุรกิจในระบบเศรษฐกิจได้เพียง 24% เท่านั้น และมักต้องพึ่งพาเงินทุนจากธนาคารซึ่งมีราคาค่อนข้างแพง“ปี 2024 สินเชื่อสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางเพิ่มขึ้น 8% แต่ตัวเลขนี้ซ่อนความจริงอันเลวร้ายเอาไว้ ในขณะที่ธุรกิจขนาดใหญ่ได้รับเงื่อนไขการเงินที่เอื้ออำนวยและอัตราดอกเบี้ยต่ำ 3%-4% ธุรกิจขนาดเล็กต้องจ่ายอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยที่สูงกว่า 6%-8% และจำเป็นต้องให้การค้ำประกันที่เข้มงวด” สถานการณ์นี้เป็นผลจากการผูกขาดธนาคารที่ใหญ่ที่สุด 5 แห่งของประเทศ และการขาดการแข่งขันเนื่องจากไม่มีแหล่งสินเชื่อทางเลือกที่ไม่ใช่ธนาคารที่หลากหลาย
“สถานการณ์ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้อีกต่อไป เนื่องจากมีธนาคารใหญ่ 5 แห่ง และเนื่องจากสงคราม ธนาคารเหล่านี้จึงไม่สามารถให้สินเชื่อแก่ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมได้เพียงพอ และไม่มีทางเลือกอื่นที่เพียงพอ รัฐบาลจำเป็นต้องลดอุปสรรคด้านกฎระเบียบให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และสนับสนุนให้ธนาคารต่างๆ สนับสนุนธุรกิจขนาดเล็ก ตลอดจนพัฒนาทางเลือกด้านสินเชื่ออื่นๆ”
ที่มา : Timeofisrael.com
ข้อคิดเห็น/ข้อเสนอแนะ
หากเราจะมาวิเคราะห์ผลข้อตกลงการหยุดยิงกับการจัดอันดับทางเศรษฐกิจของอิสราเอล โดยหน่วยงานจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศ S&P และ Fitch Ratings เช่นเดียวกับ Moody’s ต่างระบุว่าข้อตกลงหยุดยิงและปล่อยตัวตัวประกันระหว่างอิสราเอลและฮามาสอาจช่วยบรรเทาปัจจัยเบื้องหลังมุมมองเชิงลบต่ออันดับความน่าเชื่อถือของอิสราเอลได้ แต่ยังคงมีความเสี่ยงอยู่มาก (ข่าว en.globes.co.il)
Fitch กำหนดให้อิสราเอลมีมุมมองเชิงลบเมื่อปรับลดระดับความน่าเชื่อถือของชาติจาก A+ ลงเป็น A ในเดือนสิงหาคม 2024 S&P ก็ทำแบบเดียวกันเมื่อปรับลดระดับในลักษณะเดียวกันในเดือนตุลาคม Fitch ระบุว่า “การยุติสงครามในฉนวนกาซาอย่างถาวรจะช่วยลดความเสี่ยงที่เกิดจากมุมมองเชิงลบต่ออันดับเครดิตของประเทศอิสราเอลที่ระดับ “A” และเพิ่มศักยภาพในการบรรเทาความเสี่ยงด้านความมั่นคงในตะวันออกกลางที่กว้างขึ้นภายหลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุดในเลบานอนและซีเรีย” แต่ยังกล่าวเสริมว่า “ถึงกระนั้นก็ยังมีความไม่แน่นอนในระดับสูงว่าการลดความรุนแรงใดๆ จะยั่งยืนเพียงใด และความเสี่ยงทางการเมืองในอิสราเอลอาจเป็นความท้าทายต่อการปรับสมดุลทางการคลัง”
“แนวโน้มทางการเงินในระยะกลางของอิสราเอลยังคงมีความไม่แน่นอนในระดับสูง สะท้อนถึงความเสี่ยงต่างๆ รอบๆ แผนการใช้จ่ายทางทหาร ความสำคัญของกลุ่มพันธมิตร และรูปแบบการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของอิสราเอล” การอัปเดตของ Fitch ระบุ
ส่วน S&P พูดถึง “ความเสี่ยงในการดำเนินการ” ต่อการหยุดยิง ซึ่งจะต้องดำเนินการเป็นขั้นตอน “ธรรมชาติของข้อตกลงหลายขั้นตอน ท่ามกลางบริบททางการเมืองที่ซับซ้อนและผันผวน จะทดสอบความสามารถและความเต็มใจของทั้งอิสราเอลและฮามาสในการปฏิบัติตาม นอกจากนี้ เรายังเข้าใจด้วยว่ามีความขัดแย้งภายในรัฐบาลอิสราเอลและในหมู่ผู้นำฮามาสเกี่ยวกับสัมปทานที่ยอมรับได้” S&P ระบุในการอัปเดตต่อนักลงทุน
“ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า เราจะประเมินว่าการนำข้อตกลงไปปฏิบัตินั้นสามารถนำไปสู่การหยุดยิงอย่างยั่งยืน และลดความเสี่ยงจากความขัดแย้งทางทหารที่ยืดเยื้อหรือรุนแรงขึ้น ซึ่งปัจจุบันสะท้อนให้เห็นในมุมมองเชิงลบต่ออันดับความน่าเชื่อถือของเราที่มีต่ออิสราเอล” หน่วยงานดังกล่าวระบุ
สโมทริช ผู้นำพรรคไซออนิสต์ศาสนาและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งขู่จะนำพรรคของตนออกจากรัฐบาลเรื่องข้อตกลงดังกล่าว กล่าวว่าเขาได้รับคำมั่นสัญญาจากนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮูว่าการรณรงค์ของกองทัพอิสราเอลในฉนวนกาซาจะไม่สิ้นสุดจนกว่าจะบรรลุ “เป้าหมายเต็มที่”
สคต.เทลอาวีฟ
24 ม.ค.2568