ปี 2567 เมียนมาส่งออกข้าวโพดกว่า 1.7 ล้านตัน โดยมีตลาดหลัก ได้แก่ ไทย อินเดีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม โดยในปี 2568 เมียนมาได้เตรียมความพร้อมสำหรับการส่งออกข้าวโพดไปไทย ช่วงฤดูปลอดภาษีนำเข้าของไทย (1 กุมภาพันธ์ ถึง 31 สิงหาคม) โดยใช้หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Form D) ประกอบการส่งออกดังกล่าว เพื่อลดภาษีนำเข้า จาก 73% เป็น 0% ในช่วงเวลาดังกล่าว ทั้งนี้ เมียนมามีผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ประมาณ 2.5-3 ล้านตันต่อปี โดยส่งออกประมาณ 2 ล้านตันต่อปี
ผลกระทบ/โอกาส ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นสินค้าส่งออกสำคัญของเมียนมา และเป็นสินค้านำเข้าสำคัญของไทย โดยเป็นสินค้านำเข้าอันดับ 2 ของไทยจากเมียนมา (รองจากการนำเข้าก๊าซธรรมชาติ) ซึ่งไทยนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากเมียนมา ปีละประมาณ 1.2-1.7 ล้านตัน มูลค่านำเข้าประมาณ 1.4-1.7 หมื่นล้านบาท (ปี 2567 ไทยนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์รวม 2 ล้านตัน นำเข้าจากเมียนมา 1.75 ล้านตัน หรือ 88% ของการนำเข้าทั้งหมด) โดยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากเมียนมามีความสำคัญกับ Value Chain ของไทย ทั้งการผลิตอาหารสัตว์และการผลิตอาหารของไทย รวมทั้งหากเมียนมามีรายได้การส่งออก (Export Earning) ก็จะช่วยเรื่องการนำเข้าสินค้าจากไทยได้ด้วย
เพราะการนำเข้าของเมียนมามีความท้าทายและข้อจำกัดเรื่องการขอใบอนุญาตนำเข้า (Import License) ซึ่งหากมี Export Earning เช่น การส่งออกข้าวโพดจากเมียนมา และจับคู่กันได้ ก็จะช่วยให้การขอ Import License นำเข้าสินค้าอื่นๆ ของไทยได้รับประโยชน์ไปด้วย
ข้อคิดเห็น/ข้อเสนอแนะ ขอให้ผู้ประกอบการพิจารณาใช้ประโยชน์ในส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น การนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของไทย หรือการจับคู่ Export Earning ข้าวโพดเลี้ยวสัตว์เมียนมา กับการขอ Import License นำเข้าสินค้าเข้าเมียนมา ทั้งนี้ หากข้าวโพดเมียนมาดังกล่าว เป็นข้าวโพดที่ปลูกโดยไม่เผา ก็จะช่วยเรื่องสิ่งแวดล้อม ลดมลภาวะ PM 2.5 และช่วยลดปัญหาด้านสุขภาพ ส่งเสริมเรื่องความยั่งยืน
ซึ่งปัจจุบันมีผู้ส่งออกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เมียนมาหลายรายที่ใช้ระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าปลูกข้าวโพดโดยไม่เผาและไม่บุกรุกพื้นที่ป่า
********************************************
ที่มา: นสพ.Global New Light of Myanmar
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงย่างกุ้ง
Thai 
English 
Chinese 
Japanese 
German