เมื่อเดือนธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปนาง Ursula von der Leyen ได้ประกาศบรรลุความตกลง EU-Mercosur Partnership Agreement ที่จะกลายเป็นการรวมกลุ่มขนาดใหญ่ที่สุดที่อียูเคยทำกับประเทศที่สาม ครอบคลุมขนาดจำนวนประชากรรวมกว่า 700 ล้านคน หลังจากการเจรจายืดเยื้อและหยุดชะงักไปนานกว่า 20 ปี ทั้งสองฝ่ายกลับมาเจรจากันใหม่อย่างจริงจังในช่วงปีที่ผ่านมา จนสามารถประกาศความสำเร็จของการเจรจาได้ในที่สุด
EU-Mercosur Partnership Agreement จะช่วยให้ทั้งสหภาพยุโรปและเมอร์โคซูร์ ซึ่งประกอบด้วยบราซิล อาร์เจนตินา อุรุกวัย และปารากวัย สามารถขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุนระหว่างกันมากขึ้น จากการขจัดอุปสรรคทางการค้าที่มีอยู่ ทั้งที่เป็นภาษีศุลกากร และที่มิใช่ภาษี สหภาพยุโรปประมาณการณ์ว่า ความตกลงฉบับนี้จะช่วยประหยัดภาษีศุลกากรให้แก่ผู้ประกอบการอียูได้ถึง 4 พันล้านยูโร (หรือราว 150,000 ล้านบาท) ต่อปี สินค้าเกษตรและอาหารที่สำคัญหลายรายการที่อียูส่งออกไปยังเมอร์โคซูร์ที่จะได้รับประโยชน์จากการลดภาษีศุลกากรภายใต้ความตกลงฯ อาทิ นมผง น้ำมันมะกอก ไวน์ ชีส มอลต์ และช็อกโกแลต ในส่วนของสินค้าอุตสาหกรรมนั้น แน่นอนว่าอียูจะสามารถเข้าสู่ตลาดเมอร์โคซูร์ได้มากขึ้น โดยเฉพาะ สินค้ากลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วน
ข้อมูลเพิ่มเติม/ข้อคิดเห็นของสคต.
1. กลุ่มเกษตรกรของหลายประเทศสมาชิกอียู รวมทั้ง โปแลนด์ เองยังไม่เห็นด้วยกับความตกลงดังกล่าว ด้วยเกรงว่าสินค้าเกษตรและอาหารราคาถูกจากเมอร์โคซูร์จะเข้าตีตลาดอียูจนเกษตรกรจะต้องล้มหายตายจากไป ในขณะที่ตนต้องเผชิญหน้ากับกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมและสวัสดิภาพสัตว์อันเข้มงวด ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตถีบตัวสูงขึ้น การประท้วงจากกลุ่มเกษตรกรโปแลนด์บนท้องถนน ทั้งในกรุงวอร์ซอ และนอกเมือง รวมทั้งหน้าสำนักงานผู้แทนคณะกรรมาธิการยุโรปในโปแลนด์ ที่ถนน Jasna คงจะมีให้เห็นบ่อยขึ้นในระยะต่อจากนี้
2. อย่างไรก็ตาม ความตกลงอียู-เมอร์โคซูร์ ฉบับนี้ ซึ่งครอบคลุม 2 เสาหลัก ได้แก่ เสาทางด้านการเมืองและความร่วมมือ และเสาด้านการค้า ยังต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรปและรัฐสภายุโรป รวมทั้ง อาจต้องผ่านกระบวนการให้สัตยาบันรับรองจากประเทศสมาชิก เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
ที่มา:
1. European Commission
2. Notes from Poland