DeepSeek พลิกโฉมการบริหารจัดการข้อมูลด้านความคิดเห็นสาธารณะในยุคดิจิทัล

ในยุคที่ข้อมูลหมุนเวียนอย่างรวดเร็วและหลากหลาย ช่องทางสื่อสารมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การบริหารจัดการข้อมูลความคิดเห็นสาธารณะ (Public Opinion Management) จึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับองค์กรภาครัฐและเอกชนที่ต้องการรับมือกับกระแสข่าวสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยความสามารถของปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่าง DeepSeek การเฝ้าติดตาม วิเคราะห์ และตอบสนองต่อประเด็นร้อนในสังคมสามารถทำได้แบบเรียลไทม์ ลดความเสี่ยงในการเกิดวิกฤตและช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ขององค์กร

 

จากข่าวนี้ขอนำเสนอกรณีศึกษาจากศูนย์บริหารจัดการข้อมูลความคิดเห็นสาธารณะของภาครัฐ ซึ่งได้นำ DeepSeek เข้ามาปรับใช้เพื่อพัฒนา “ระบบบริหารจัดการข้อมูลความคิดเห็นสาธารณะแบบครบวงจร” โดยแบ่งการทำงานออกเป็น 5 ส่วนหลัก ได้แก่ (1) การออกแบบโครงสร้างระบบ (2) ระบบการเฝ้าระวังแบบ 24 ชั่วโมง (3) การรับมือกับเหตุการณ์วิกฤติ (4) การบริหารจัดการข้อมูลเชิงกลยุทธ์ และ (5) การพัฒนาทักษะบุคลากรให้สามารถทำงานร่วมกับ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

  1. การออกแบบโครงสร้างระบบ ผสานการทำงานระหว่างมนุษย์และ AI
    DeepSeek ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารจัดการข้อมูลด้านความคิดเห็นสาธารณะ  โดยมีการออกแบบระบบให้เป็น “วงจรปิด 4 ขั้นตอน” ได้แก่

1.1 การเฝ้าระวัง (Monitoring) – AI ทำหน้าที่ดึงข้อมูลจากแหล่งข่าวต่าง ๆ เช่น โซเชียลมีเดีย เว็บไซต์ข่าว และแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อตรวจจับแนวโน้มความคิดเห็นของประชาชน

1.2 การวิเคราะห์ (Analysis) – ระบบ AI วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับ เพื่อตรวจจับอารมณ์ความรู้สึกของประชาชน (Sentiment Analysis) และระบุประเด็นที่อาจเป็นความเสี่ยง

1.3 การตอบสนอง (Response) – หากพบเหตุการณ์ที่อาจเป็นวิกฤติ ระบบจะส่งสัญญาณเตือนและแนะนำแนวทางในการสื่อสารเพื่อแก้ไขสถานการณ์

1.4 การประเมินผล (Evaluation) – หลังจากดำเนินการแก้ไขแล้ว ระบบจะติดตามและวิเคราะห์ผลลัพธ์ เพื่อนำไปปรับปรุงกลยุทธ์ในอนาคตเพื่อให้สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว ศูนย์บริหารจัดการข้อมูลความคิดเห็นสาธารณะได้กำหนด ระบบแจ้งเตือน 3 ระดับ ตามระดับความรุนแรงของประเด็น ได้แก่

ระดับสีแดง (Red Alert) – กรณีที่ความคิดเห็นเชิงลบเกินร้อยละ 40 และมีอัตราการเติบโตของ   การพูดถึงเกินร้อยละ 500 ภายใน 3 ชั่วโมง ระบบจะส่งสัญญาณเตือนทันที เช่น หากมีคลิปเกี่ยวกับปัญหาการเวนคืนที่ดินที่ถูกแชร์ไปกว่า 1 ล้านครั้งภายใน 2 ชั่วโมง

ระดับสีเหลือง (Yellow Alert) – ความคิดเห็นเชิงลบอยู่ที่ร้อยละ 20-40 และมีการเผยแพร่ในหลายแพลตฟอร์ม เช่น แฮชแท็กเกี่ยวกับปัญหาการเข้าถึงบริการสุขภาพขึ้นอันดับต้น ๆ ในโซเชียลมีเดีย

ระดับสีน้ำเงิน (Blue Alert) – มีการพูดถึงประเด็นที่อ่อนไหวแต่ยังไม่มีการแพร่กระจายมาก เช่น ข้อร้องเรียนเรื่องถนนที่กำลังมีการก่อสร้าง

 

  1. ระบบการเฝ้าระวัง 24 ชั่วโมง จากการตอบสนองแบบตั้งรับสู่การคาดการณ์ล่วงหน้า
    DeepSeek ไม่เพียงแต่ทำหน้าที่ตรวจจับประเด็นที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน แต่ยังช่วยวิเคราะห์แนวโน้มล่วงหน้า เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้น ตัวอย่างกรณีศึกษาของการบริหารจัดการความคิดเห็นสาธารณะในช่วง มหกรรมการแข่งขันกีฬามาราธอนระดับนานาชาติ

2.1 การประเมินความเสี่ยงล่วงหน้า ก่อนการแข่งขัน ระบบ AI จะถูกป้อนข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาที่เคยเกิดขึ้นจากการแข่งขันในอดีต (ย้อนหลัง 3 ปี) เพื่อสร้าง “คลังคำสำคัญที่มีความเสี่ยงสูง” เช่น “น้ำดื่มไม่พอ” หรือ “รถพยาบาลมาช้า”

2.2 การติดตามสถานการณ์แบบเรียลไทม์ ในวันแข่งขัน ระบบจะเฝ้าติดตามข้อมูลจากโซเชียลมีเดียและข่าวสารในพื้นที่ หากพบว่าความคิดเห็นเชิงลบเกี่ยวกับเหตุการณ์ใด ๆ เพิ่มขึ้นเกินร้อยละ 25 ภายใน      30 นาที ระบบจะส่งสัญญาณเตือน เช่น กรณีที่มีนักวิ่งเป็นลม และมีผู้โพสต์วิดีโอเหตุการณ์ลงในโซเชียลมีเดีย ระบบจะตรวจจับและแจ้งเตือนทีมงานให้ดำเนินการแก้ไขทันที

2.3 การตอบสนองและการบริหารจัดการข้อมูล เมื่อเกิดเหตุการณ์ ระบบจะทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่โดยแบ่งหน้าที่เป็น 2 ทีม โดย ทีม A เตรียมแถลงการณ์อธิบายสถานการณ์และแนวทางแก้ไข เช่น การระบุว่ารถพยาบาลใช้เวลาเท่าใดในการให้ความช่วยเหลือ และทีม B เฝ้าติดตามว่ามีการเผยแพร่ข่าวที่ไม่เป็นความจริงหรือไม่ และหากพบว่ามีการใช้ข่าวนี้ในการโจมตีฝ่ายจัดงาน จะมีการตอบสนองอย่างเหมาะสม

  1. การรับมือกับเหตุการณ์วิกฤติ 5 ขั้นตอนสู่การจัดการที่แม่นยำ
    ตัวอย่างกรณีศึกษาของโรงเรียนแห่งหนึ่งที่เผชิญกับ ข่าวลือเรื่องความไม่สะอาดของโรงอาหาร  ระบบ DeepSeek สามารถช่วยแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็วผ่าน 5 ขั้นตอน ได้แก่

3.1 การสืบค้นต้นตอ – ระบบ AI ทำการวิเคราะห์ภาพและข้อความจากข่าวลือ พบว่าภาพที่ใช้แพร่กระจายข่าวนั้นมาจากกลุ่มไลน์ของผู้ปกครองและไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์จริง

3.2 การวิเคราะห์แนวโน้ม – พบว่าข้อมูลที่ถูกแชร์บนแพลตฟอร์มวิดีโอมีจำนวนมากกว่าข้อความแบบดั้งเดิมถึง 3.2 เท่า

3.3 การพัฒนากลยุทธ์การสื่อสาร – ใช้ AI ช่วยออกแบบข้อความเพื่อชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจ

3.4 การติดตามผล – ระบบติดตามดูว่าข้อมูลเชิงลบลดลงหรือไม่ โดยมีเป้าหมายให้ความเชื่อมั่นกลับมาอยู่ในระดับปกติภายใน 48 ชั่วโมง

3.5 การปรับปรุงแนวทางในอนาคต – ใช้ข้อมูลที่ได้เพื่อพัฒนามาตรการป้องกันข่าวลือในอนาคต

 

  1. สรุป DeepSeek พลิกโฉมการจัดการความคิดเห็นสาธารณะ

การใช้ AI อย่าง DeepSeek ช่วยให้องค์กรสามารถรับมือกับข้อมูลความคิดเห็นสาธารณะได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งการเฝ้าระวังล่วงหน้า การตอบสนองต่อสถานการณ์ และการประเมินผลหลังเหตุการณ์ DeepSeek จึงไม่ใช่เพียงเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล แต่เป็น “ศูนย์บัญชาการอัจฉริยะ” ที่ช่วยให้องค์กรสามารถปรับตัวและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว

 

ข้อเสนอแนะ สคต. ณ นครเฉิงตู

ในยุคดิจิทัลที่ข้อมูลแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ผู้ประกอบการไทยทั้งในประเทศไทยและในจีนต้องเผชิญกับความท้าทายในการบริหารจัดการชื่อเสียงของธุรกิจบนโลกออนไลน์ การใช้ AI ในการติดตาม วิเคราะห์ และบริหารจัดการความคิดเห็นของลูกค้าจึงกลายเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญสำหรับการรักษาภาพลักษณ์และความไว้วางใจของผู้บริโภค

  1. การเฝ้าระวังและจัดการความคิดเห็นของลูกค้าแบบเรียลไทม์ ธุรกิจต้องลงทุนในเครื่องมือ AI เช่น DeepSeek เพื่อช่วยติดตามและวิเคราะห์ความคิดเห็นของลูกค้าบนโซเชียลมีเดีย แพลตฟอร์มรีวิว และฟอรัมต่าง ๆ หากพบแนวโน้มความคิดเห็นเชิงลบ AI ควรสามารถแจ้งเตือนได้แบบเรียลไทม์ เพื่อให้ธุรกิจสามารถตอบสนองและแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที เช่น ร้านอาหารไทยในเฉิงตูสามารถใช้ AI เพื่อตรวจสอบรีวิวของลูกค้า หากพบปัญหาด้านคุณภาพอาหาร ระบบสามารถแจ้งเตือนผู้จัดการเพื่อดำเนินการปรับปรุงทันที
  2. การใช้ AI เพื่อสร้างกลยุทธ์การตลาดและการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ AI สามารถช่วยวิเคราะห์แนวโน้มของตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภคเพื่อพัฒนากลยุทธ์การตลาดที่ตรงกลุ่มเป้าหมาย ธุรกิจไทยที่ขยายตลาดไปจีน เช่น ร้านอาหารไทยหรือสินค้าอุปโภคบริโภค ควรใช้ AI วิเคราะห์กระแสความนิยมของผู้บริโภคจีนผ่านแพลตฟอร์มอย่าง WeChat, Weibo และ Douyin (TikTok China) เพื่อออกแบบแคมเปญการตลาดที่ดึงดูดใจ นอกจากนี้ AI ยังสามารถช่วยสร้างเนื้อหาการตลาดที่เหมาะสมในแต่ละแพลตฟอร์ม โดยอิงจากข้อมูลพฤติกรรมของลูกค้า
  3. การบริหารจัดการวิกฤตและการสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า เมื่อเกิดวิกฤต เช่น ข่าวลือด้านลบหรือกระแสต่อต้านสินค้า AI สามารถช่วยวิเคราะห์และระบุแหล่งที่มาของปัญหาได้อย่างแม่นยำ เพื่อลดความเสียหายต่อแบรนด์ ธุรกิจสามารถใช้ AI ในการออกแบบแนวทางการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ อาทิ บริษัทไทยที่มีโรงงานในจีนสามารถใช้ AI เพื่อตรวจสอบว่ามีข่าวลือเกี่ยวกับมาตรฐานการผลิตหรือไม่ และดำเนินมาตรการตอบสนองอย่างทันท่วงทีผ่านช่องทางดิจิทัล
  4. การใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารภายในองค์กร AI ไม่เพียงแต่ช่วยบริหารจัดการความคิดเห็นของลูกค้า แต่ยังสามารถนำมาใช้ในกระบวนการบริหารภายใน เช่น การวิเคราะห์ประสิทธิภาพของพนักงาน การตรวจสอบมาตรฐานการให้บริการ และการคาดการณ์แนวโน้มของตลาด ธุรกิจไทยที่มีสาขาในจีนสามารถใช้ AI ในการบริหารซัพพลายเชน โดยคาดการณ์ความต้องการของตลาด และปรับปรุงการสต็อกสินค้าให้เหมาะสม

ผู้ประกอบการไทยทั้งในประเทศและในจีนควรนำ AI เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ทางธุรกิจ เพื่อให้สามารถบริหารจัดการความคิดเห็นของลูกค้า รับมือกับวิกฤติ และพัฒนากลยุทธ์การตลาดที่ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภค การใช้ AI ไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันปัญหา แต่ยังสามารถสร้างโอกาสในการขยายธุรกิจและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในยุคดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

————————————————–

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครเฉิงตู

กุมภาพันธ์ 2568

แหล่งข้อมูล :

                          https://mp.weixin.qq.com/s/nGOv1a_bR43KGWg-nbSRYg

                             https://xueqiu.com/9057196330/321770120

https://mp.weixin.qq.com/s/nGOv1a_bR43KGWg-nbSRYg

thThai