ประธานาธิบดีทรัมป์ ประกาศแผนการเรียกเก็บภาษีนำเข้า ร้อยละ 25 กับสินค้าเหล็กและอลูมิเนียมจากทั่วโลก ซึ่งรวมถึงการนำเข้าจากแคนาดาด้วย ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่ออุตสาหกรรมทั้งสองของแคนาดาที่มีการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ เป็นหลัก นอกจากนี้ ทรัมป์กล่าวว่า จะประกาศขึ้นภาษีต่างตอบแทน (reciprocal tariffs) กับประเทศที่มีการเก็บภาษีนำเข้ากับสินค้าของสหรัฐฯ
ปัจจุบัน แคนาดาเป็นแหล่งนำเข้าอันดับหนึ่งของสหรัฐฯ ในสินค้าเหล็กและอลูมิเนียม
การประกาศครั้งนี้ นี้ถือเป็นการเพิ่มมาตรการกีดกันการค้าล่าสุดจากทรัมป์ ซึ่งในช่วงเพียงสามสัปดาห์แรกในตำแหน่งของทรัมป์สหรัฐฯ โดยขู่เริ่มสงครามการค้ากับทั้งพันธมิตรและศัตรู ซึ่งก่อนหน้านี้ ทรัมป์ขู่ว่าจะเก็บภาษีนำเข้ากับสินค้าทั้งหมดที่นำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโก ร้อยละ 25 แต่ได้เลื่อนออกไป 1 เดือน หลังจากที่ทั้งสองประเทศยอมปรับปรุงเรื่องความมั่นคงของพรมแดน
รัฐมนตรีนวัตกรรม วิทยาศาสตร์และการพัฒนาเศรษฐกิจ ของแคนาดา (นายฟรองซัวส์-ฟิลิปป์ ชอมปาญ) ได้โพสต์บนโซเชียลมีเดีย เน้นย้ำว่า สินค้าเหล็กและอลูมิเนียมจากแคนาดามีความสำคัญต่อห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมสำคัญในสหรัฐฯ ตั้งแต่การป้องกันประเทศ (Defense) การต่อเรือ จนถึงอุตสาหกรรมยานยนต์
ในสมัยแรกของทรัมป์ สหรัฐฯ เคยขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กร้อยละ 25 และอลูมิเนียมร้อยละ 10 กับแคนาดา ประมาณ 1 ปี และยกเลิกไป ซึ่งในขณะนั้นแคนาดามีการตอบโต้การขึ้นภาษีกับสหรัฐฯ ด้วยและเนื่องจากอุตสาหกรรมทั้งสองของแคนาดาพึ่งพาสหรัฐฯ เป็นตลาดหลัก เพราะตลาดอื่นซื้อเหล็กต้นทุนต่ำจากจีน และการขนส่งมีต้นทุนสูงเพราะเป็นโลหะหนัก ภาษีนำเข้าจึงส่งผลอย่างมาก ทำให้การส่งออกสินค้าเหล็กจากแคนาดาไปสหรัฐฯ ในปี 2561 ลดลงร้อยละ 38
แต่ละปี แคนาดาส่งออกสินค้าเหล็กไปสหรัฐฯ ประมาณ 10 ล้านตัน โดยนำไปใช้ส่วนใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ พลังงาน ก่อสร้าง อุตสาหกรรมเหล็กมีการจ้างงานในแคนาดากว่า 23,000 ตำแหน่ง โดยบริษัทส่วนใหญ่จะกระจุกตัวในรัฐออนแทริโอ
CEO ของสมาคมผู้ผลิตเหล็กแคนาดา (นางแคเธอรีน โคบเดน) กล่าวว่า การที่ทรัมป์จะเรียกเก็บภาษีจากเหล็กที่มาจากแคนาดาเป็นการกระทำที่ไร้เหตุผล ซึ่งและแคนาดาควรตอบโต้ทันที โดยทางสมาคม เรียกร้องให้รัฐบาลแคนาดาดำเนินการรับมือและมาตรการใดๆ ที่จะถูกนำมาใช้กับภาคอุตสาหกรรมของแคนาดาจะต้องได้รับการตอบโต้ด้วยมาตรการที่เหมาะสมเพื่อชดเชยผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากภาษีที่อาจกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมและการจ้างงานในแคนาดา
บริษัทผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ในแคนาดาที่จะได้รับผลกระทบ ได้แก่ Algoma Steel ตั้งอยู่ในเมือง Sault Ste. Marie รัฐออนแทริโอ บริษัท Cleveland-Cliffs Inc. ของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัท Stelco ในแคนาดา และ Arcelor-Mittal จากลักเซมเบิร์ก ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัท Dofasco ในแคนาดา
สำหรับอุตสาหกรรมอลูมิเนียมของแคนาดานั้นอยู่ในสถานการณ์ที่ดีกว่าเล็กน้อยเมื่อกับอุตสาหกรรมเหล็ก เนื่องจากแคนาดาส่งอะลูมิเนียมปริมาณเกือบ 3 ล้านตันในแต่ละปีไปยังสหรัฐฯ ซึ่งแคนาดาเป็นแหล่งนำเข้าร้อยละ 60 ของสหรัฐฯ โดยอุตสาหกรรมนี้มีการจ้างงานประมาณ 9,500 คน ในแคนาดา ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในรัฐควิเบก
หากมีการเรียกเก็บภาษีอลูมิเนียมจากแคนาดา อุตสาหกรรมนี้ ยังมีความยืดหยุ่นที่สามารถปรับขึ้นราคาบางส่วนผลักภาระให้กับลูกค้าบางราย และสามารถโยกย้ายการดำเนินธุรกิจไปยังตลาดอื่นๆ ได้ เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมเหล็ก
โดย นายฌอง ซิมาร์ ประธานสมาคมอลูมิเนียมของแคนาดากล่าวกับ หนังสือพิมพ์ The Globe and Mail เมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า สมาคมฯ จะรอรายละเอียดเพิ่มเติมก่อนที่จะให้ความคิดเห็น ปัจจุบัน ผู้ผลิตอลูมิเนียมยักษ์ใหญ่ในแคนาดา ได้แก่ บริษัท Rio Tinto PLC จากออสเตรเลีย, บริษัท Alcoa Corp. จากพิตต์สเบิร์ก สหรัฐฯ และ Aluminerie Alouette เป็นบริษัทแคนาดาซึ่งตั้งอยู่ในควิเบก
นายฟรองซัวส์ เลอโกต์ มุขมนตรี รัฐควิเบก เห็นว่า สถานการณ์ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าแคนาดาต้องเริ่มเจรจาทบทวนความตกลงการค้าเสรีกับสหรัฐฯ (USMCA) โดยเร็ว และไม่ต้องรอการทบทวนตามที่กำหนดไว้ในปี 2569 เพื่อยุติสถานการณ์ความไม่แน่นอน
บริษัทผู้ผลิตเหล็กของสหรัฐฯ และสหภาพแรงงานได้ผลักดันให้มีการคุ้มครองอุตสาหกรรมเหล็กของสหรัฐฯ มานานแล้ว และเพิ่มแรงกดดันมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เมื่อจีนส่งออกเหล็กราคาต่ำสู่ตลาดโลก สหรัฐฯ กังวลว่าแคนาดาและเม็กซิโกอาจเป็นช่องทาง backdoors ให้สินค้าเหล็กของจีนเข้าสู่ตลาดอเมริกาเหนือ ซึ่งทั้งสองประเทศต่างปฏิเสธข้อกล่าวหานี้
ที่ผ่านมา แคนาดาพยายามปรับนโยบายการค้าของตัวเองให้สอดคล้องกับของสหรัฐฯ เพื่อปกป้องทั้งสองตลาดการค้าที่ไม่เป็นธรรมของจีน เช่น แคนาดาได้ดำเนินขึ้นภาษีภายใต้ Section 53 กับสินค้าเหล็กที่นำเข้าจากจีน และเพิ่มการระบบติดตามตรวจสอบการนำเข้าทั้งหมดเพื่อให้สามารถระบุแหล่งที่ผลิตของสินค้านำเข้าได้
ความเห็น สคต.
ปัจจุบันแคนาดาพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ เป็นหลักสำหรับการส่งออกสินค้าเหล็กและอลูมิเนียม โดยสินค้าเหล็ก (พิกัดศุลกากร 72) สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกมีสัดส่วนร้อยละ 87 ผลิตภัณฑ์เหล็ก (พิกัดศุลกากร 73) ตลาดสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 94.5 และสินค้าอลูมิเนียม (พิกัดศุลกากร 76) ตลาดสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 91 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด ในปี 2567
การที่ทรัมป์เลือกใช้มาตรการทางการค้าที่รุนแรงเช่นนี้แม้เป็นเพียงการขู่ และอาจไม่ได้ดำเนินการจริง แต่ได้สร้างผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างประเทศ และความไม่แน่นอนให้เกิดขึ้นแก่ทุกภาคส่วนของแคนาดา และได้กลายเป็นกระแสสังคมในแคนาดาต่อต้านสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ และพยายามหันมาบริโภคและใช้สินค้าที่ผลิตในแคนาดาเพิ่มขึ้น เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมและการจ้างงานในประเทศที่อาจได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนที่ทรัมป์ได้สร้างขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การทยอยลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ลง เพื่อลดความเสี่ยงของภาคธุรกิจแคนาดาในอนาคต
โปรดติดตามความเคลื่อนไหวในการค้าระหว่างประเทศผ่าน ช่องทางต่างๆ ของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ www.ditp.go.th และ www.thaitrade.com หรือโทรปรึกษาเรื่องการค้าระหว่างประเทศที่กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ โทร. 1169 (หากโทรจากต่างประเทศ โปรดติดต่อที่ โทร. +66 2792 6900)
——————————————————————-