เนื้อหาสาระข่าวและบทวิเคราะห์: กระแสความนิยมและแนวโน้มพฤติกรรมผู้บริโภคในสหรัฐฯ ซึ่งเผยให้เห็นจากการรายงานล่าสุดของสมาคมผู้ประกอบการสินค้าตราห้าง (Private Label Manufacturers Association: PLMA) ชี้ให้เห็นว่ายอดขายของสินค้าอุปโภคบริโภคในภาพรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มสินค้าอาหารและเครื่องดื่มที่จำหน่ายในยี่ห้อของห้างค้าปลีก/ซุปเปอร์มาร์เก็ต หรือ House Brand นั้นทำยอดขายสูงขึ้นต่อเนื่องอย่างก้าวกระโดด สะท้อนว่าผู้บริโภคในสหรัฐฯหันมาให้ความสำคัญกับสินค้า Private Label มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

หากพิจารณาจากกลุ่มสินค้าอุปโภคและบริโภคทั้งหมด จะพบว่าในปี 2024 ยอดขายกลุ่มสินค้าอาหารแช่เย็น (Refrigerated) มียอดขายรวมมากที่สุดอยู่ที่ประมาณ 5.7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ขณะที่กลุ่มสินค้าเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์ (Liquor) มีอัตราการปรับตัวของยอดขายเพิ่มขึ้นมากที่สุดอยู่ที่ 24.2% และสำหรับปริมาณการขายกลุ่มสินค้าอาหารทั่วไป (General Food) มีปริมาณขายรวมมากที่สุดอยู่ที่ประมาณ 1.8 หมื่นล้านหน่วย และกลุ่มสินค้าเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์มีอัตราการปรับตัวของยอดขายเพิ่มขึ้นมากที่สุดอยู่ที่ 18.1% เช่นกัน

โดยในภาพรวมทั้งหมดนั้นกลุ่มสินค้าอาหารและเครื่องดื่มทั้งหมดมียอดขายเพิ่มขึ้นประมาณ 77% และปริมาณการขายเพิ่มขึ้นประมาณ 71% รายละเอียดปรากฎดังตารางด้านล่าง

ขาขึ้นอย่างก้าวกระโดดของสินค้า Private Label ในตลาดสหรัฐฯ

ตารางแสดงข้อมูลเปรียบเทียบระหว่างยอดขาย (Dollar Sales) และปริมาณการขาย (Unit Sales) สินค้า Private Label ปี 2024 และอัตราร้อยละเปลี่ยนแปลงเปรียบเทียบกับปี 2023 รวมสินค้าอุปโภคบริโภค       ทุกกลุ่มสินค้า

ปัจจัยที่ขับเคลื่อนความนิยมในสินค้า Private Label

John Mercer หัวหน้าแผนกวิจัยจาก Coresight Research ตั้งข้อสังเกตว่าผู้บริโภคในสหรัฐฯ มีพฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าที่ย้ำคิดย้ำทำมากขึ้น กล่าวคือ ผู้บริโภคจะทำการเปรียบเทียบราคาก่อนซื้อสินค้ามากขึ้น และเลือกที่จะซื้อสินค้าที่ราคาต่ำกว่า ในปริมาณที่น้อยชิ้นกว่าอีกด้วย เนื่องจากผู้บริโภคบางส่วนมักจะยึดติดกับราคาสินค้าต่าง ๆ ตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤติโรคระบาดโควิด-19 นอกจากนี้ด้วยสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ครอบครัวที่มีรายได้ปานกลาง (น้อยกว่า 100,000 เหรียญสหรัฐฯ/ปี) ยิ่งเก็บหอมรอมริบมากขึ้นสวนทางกับทิศทางของบริษัทผู้ผลิตสินค้าบรรจุภัณฑ์สำหรับอุปโภคบริโภค (Consumer Packaged Goods: CPG) รายใหญ่หรือสินค้าที่มียี่ห้อดัง ที่ยังคงตั้งราคาขายสินค้าสูงเหมือนเดิม ท่ามกลางเม็ดเงินในมือผู้บริโภคที่ตรงกันข้ามนั้น ก็ยิ่งเป็นการเปิดทางให้สินค้า Private Label ตีตลาดได้มากขึ้น

จุดแข็งของสินค้า Private Label คือได้เปรียบการแข่งขันในราคาสินค้า เนื่องจากสินค้า Private Label มักจะมีราคาขายที่ต่ำกว่าสินค้าที่มียี่ห้อชั้นนำ นอกเหนือจากในเรื่องราคาแล้วนั้น คุณภาพก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ผู้บริโภคย่อมให้ความสำคัญ ซึ่งในปัจจุบันพบว่าผู้บริโภคในสหรัฐฯจำนวนมากให้การยอมรับสินค้า Private Label ว่ามีคุณภาพเทียบเท่าหรือใกล้เคียงกับสินค้าชนิดเดียวกันที่มียี่ห้อชั้นนำ โดยผลจากการสำรวจพบว่าผู้บริโภคในสหรัฐฯมีความต้องการสินค้าที่มีคุณภาพสูงที่ราคาอยู่ในระดับเข้าถึงได้เพิ่มมากขึ้น

การเติบโตของสินค้า Private Label ต่อไป

Simeon Gutman นักวิเคราะห์การค้าปลีกในสหรัฐฯของ Morgan Stanley คาดการณ์กว่ายอดขายสินค้าอุปโภคบริโภค Private Label อาจเติบโตเพิ่มขึ้นได้ถึง 40% มีมูลค่ายอดขายรวมประมาณ 4.6 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2030 และผลของการเติบโตอย่างต่อเนื่องอย่างเป็นที่ประจักษ์อย่างนี้ จะส่งผลต่อการขับเคลื่อนและการเปลี่ยนแปลงในตลาดสินค้าปลีกของสหรัฐฯอย่างมาก ดังจะเห็นได้จากในปัจจุบันที่เริ่มมีธุรกิจห้างสรรพสินค้าและซุปเปอร์มาร์เก็ตจำนวนมากในสหรัฐฯทยอยปรับตัวที่จะลงทุนไปกับการผลิตสินค้า Private Label ของตัวเองมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดวัฏจักรขาขึ้นรอบใหญ่ (Supercycle) ของตลาดสินค้า Private Label ต่อไป และนั่นหมายถึงการเข้ามามีส่วนแบ่งในการเพิ่มยอดขายจากฐานลูกค้าเดิม (Share of Wallet) และนวัตกรรมในสินค้าที่จะมีความหลากหลายมากขึ้นเพื่อเป็นตัวเลือกสินค้าให้กับผู้บริโภค นอกจากนี้บรรดาบริษัทห้างค้าปลีกและซุปเปอร์มาร์เก็ตจำนวนไม่น้อยหันมาให้ความสนใจกับกลุ่มสินค้า Private Label ระดับพรีเมียม (Premium Private Label) ซึ่งผู้บริโภคในสหรัฐฯยินดีที่จะจ่ายเงินซื้อสินค้ากลุ่มนี้ด้วยคุณภาพสินค้าในราคาที่เข้าถึงได้

รัฐทางตอนใต้คือพื้นที่สำคัญในการขยายตลาด

จากการรวบรวมข้อมูลพบว่ารัฐในพื้นที่ทางตอนใต้ของสหรัฐฯ อาทิ รัฐฟลอริดา (Florida) รัฐนอร์ทแคโรไลนา (North Carolina) รัฐจอร์เจีย (Georgia) และรัฐเท็กซัส (Texas) เป็นตลาดขนาดใหญ่และสำคัญสำหรับสินค้า Private Label เนื่องจากในพื้นที่ดังกล่าวมีครอบครัวเดี่ยว (Single-Family) อาศัยอยู่หนาแน่น ทำให้มีเกิดการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคสินค้าโดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอาหารมากกว่าพื้นที่อื่น โดยในพื้นที่ทางตอนใต้ของสหรัฐฯ มีประชากรอยู่ประมาณ 130 ล้านคน (ประมาณ 38% ของประชากรสหรัฐฯทั้งหมด) และล้วนเป็นรัฐที่มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ทำให้ผู้คนในพื้นที่มีความต้องการสินค้าที่ตอบสนองต่อความสะดวกสบายในชีวิตประจำวัน เช่น อาหารพร้อมปรุง (Prepared Food) เป็นต้น และที่สำคัญมากไปกว่านั้น ภายใน 4 รัฐนี้มีปริมาณห้างค้าปลีก/ซุปเปอร์เก็ตชื่อดัง อาทิ Walmart, Publix และ H-E-B กระจายอยู่รวมกว่า 50,000 สาขา ซึ่งถือว่ามากพอที่จะรองรับการขยายตลาดสินค้า Private Label ได้อย่างดียิ่ง

ข้อคิดเห็น/ข้อเสนอแนะ: การผลิตสินค้าและส่งออกมายังสหรัฐฯในฐานะ Private Label หรือ House Brand ของห้างค้าปลีก/ค้าส่ง หรือซุปเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำของสหรัฐฯ อาจเป็นอีกหนึ่งช่องทางและวิธีการส่งเสริมการส่งออกสินค้าที่มีคุณภาพระดับสากลของไทยมายังสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มสินค้าอาหารและเครื่องดื่มซึ่งบริษัทผู้ผลิตและผู้ประกอบการในประเทศไทยมีศักยภาพในการแข่งขันอยู่แล้ว เพื่อให้ประเทศไทยสามารถป้อนสินค้าที่ราคาและคุณภาพสอดคล้องไปกับแนวโน้มพฤติกรรมผู้บริโภคในสหรัฐฯ ซึ่งการรวบรวมรายงานข่าวประจำสัปดาห์ในข้างต้นได้ชี้ให้เห็นแล้วว่าผู้บริโภคในสหรัฐฯหันมาให้ความสำคัญกับสินค้า Private Label มากขึ้น ด้วยเหตุผลเรื่องราคาเป็นสำคัญแต่คุณภาพสินค้าจะต้องอยู่ในระดับดีเทียบเท่ากันด้วย ซึ่งนั่นไม่ใช่เพียงสินค้ากลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม แต่ยังรวมถึงสินค้าประเภทอื่น ๆ อีกด้วย ทั้งนี้ ผู้ประกอบการและผู้ส่งออกสินค้าไทยที่กำลังมองหาโอกาสส่งออกสินค้ามายังสหรัฐฯ อาจดำเนินการเตรียมความพร้อมการผลิตสินค้าในฐานะ Private Label ไว้เป็นตัวเลือกอีกทางหนึ่งในการเจรจาธุรกิจกับผู้ประกอบการ/ผู้นำเข้าของสหรัฐฯในโอกาสต่าง ๆ

ที่มา: Dairy Reporter
เรื่อง: “Private Label Sales ‘on cusp of a super cycle’ with Dairy in Pole Positionโดย: Teodora Lyubomirova
สคต. ไมอามี /วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2568
thThai