สัปดาห์ที่ผ่านมานาง Ursula von der Leye ประธานคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรป (EU) สังกัดพรรคสหภาพคริสต์เตียนเพื่อประชาธิปไตยประเทศเยอรมนี (CDU – Christlich Demokratische Union Deutschlands) ได้เข้าพบกับภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ของยุโรป โดยมีผู้เข้าร่วมประกอบด้วย (1) ผู้ผลิตรถยนต์ อาทิ BMW และ Volkswagen (2) ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ อาทิ Bosch และ ZF และ (3) สมาคมยานยนต์ยุโรป (ACEA – Association des Constructeurs Européens d’Automobiles) โดยนาง von der Leye กล่าวว่า “เราตระหนักและเข้าใจถึงความท้าทายที่อุตสาหกรรมยานยนต์ของยุโรปกำลังเผชิญหน้าอยู่ในปัจจุบัน และเห็นว่าการหารือในครั้งนี้จะช่วยหาทางออกให้กับปัญหาของกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ได้” นอกจากนี้ นาง von der Leye ยังได้ประกาศแผนปฏิบัติการในการผลักดันอุตสาหกรรม ยานยนต์ที่มีชื่อว่า “เข็มทิศชี้ทางความสามารถด้านการแข่งขัน” ที่คณะกรรมาธิการฯ ได้นำเสนอเมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดยแผนปฏิบัติการดังกล่าวเป็นผลสืบเนื่องจากการเจรจาหารือรวมกันกับหลายฝ่าย และจะนำแผนปฏิบัติการดังกล่าวมาใช้อย่างเป็นทางการในต้นเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ ในบทสัมภาษณ์กับสำนักข่าว Handelsblatt นาย Stéphane Séjourné กรรมาธิการด้านอุตสาหกรรมสหภาพยุโรปได้ประกาศถึงการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ผลิตรถยนต์ในกรณีที่อาจต้องจ่ายค่าปรับตามระเบียบเกี่ยวกับขีดจำกัดในการสร้าง CO2 ต่อจำนวนยานพาหนะที่ผลิตใหม่ของสหภาพยุโรป (CO2 emission performance standards for cars and vans)[1] สำหรับปี 2025 ว่า “เราต้องการส่งเสริมการลงทุนในเทคโนโลยีแห่งอนาคต ไม่ใช่จะมาลงโทษบริษัทที่อยู่ในกระบวนการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี” กล่าวคือ
- สหภาพยุโรปจะผ่อนปรนค่าปรับที่อาจจะเกิดขึ้นหรือไม่ ?
ปัญหานี้เป็นปัญหาที่เร่งด่วนที่สุดสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับ VW และ Renault (การที่เป็นผู้ผลิตแบบ Mass จึงมีจำนวนรถในปริมาณมาก) โดยพวกเขาจะต้องเผชิญกับค่าปรับหลายล้านยูโรเนื่องจากมีแนวโน้มที่จะไม่สามารถปฏิบัติตามขีดจำกัดในการสร้าง CO2 ต่อจำนวนยานพาหนะที่ผลิตใหม่ของสหภาพยุโรปได้ โดยในแผนเข็มทิศฯ ได้ระบุว่า คณะกรรมาธิการ EU ทำการตรวจสอบ “ความยืดหยุ่นที่เป็นไปได้” เกี่ยวข้องกับค่าปรับที่อาจเกิดขึ้น โดยจะไม่ละทิ้งเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศสำหรับปี 2025 นาย Séjourné กรรมาธิการด้านอุตสาหกรรมของสหภาพยุโรปได้ประกาศว่าน่าจะผ่อนคลายการจ่ายค่าปรับที่อาจเกิดขึ้น ในระหว่างการให้สัมภาษณ์กับ Handelsblatt “ผมคิดว่า มันขัดแย้งกันตรงที่ ด้านหนึ่งเราต้องการเสริมสร้างอุตสาหกรรมยานยนต์ของยุโรปให้แข็งแกร่งขึ้น แต่อีกด้านหนึ่ง เรากลับกำหนดบทลงโทษที่สูงกับอุตสาหกรรมนี้” นาย Séjourné กล่าวระหว่างการสัมภาษณ์ว่า “มันไม่สมเหตุสมผลเลยเพราะเราต้องส่งเสริมการลงทุนในเทคโนโลยีแห่งอนาคต จึงไม่ควรลงโทษบริษัทที่อยู่ในกระบวนการเปลี่ยนแปลง ดังนั้น เราจึงกำลังดำเนินการหาทางแก้ในประเด็นเงื่อนไขค่าปรับในปี 2025”
- จะมีโบนัส e-car ระดับยุโรปเร็ว ๆ นี้หรือไม่ ?
นาย Olaf Scholz นายกรัฐมนตรี ได้เคยเรียกร้องให้มีการให้โบนัสรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในยุโรปมาระยะหนึ่งแล้ว โดยนาย Scholz ให้สัมภาษณ์ที่เมือง Davos ว่า “ผมจะรู้สึกยินดีมาก หากประธานคณะกรรมาธิการฯ จะพิจารณาข้อเสนอเกี่ยวกับโบนัส e-car แบบทั่วทั้งยุโรป” ด้านนาง Teresa Riberaกรรมาธิการด้านการแข่งขันอย่างเป็นธรรมของสหภาพยุโรปออกมายืนยันในเวลาต่อมาว่า คณะกรรมาธิการกำลังพิจารณาข้อเสนอดังกล่าว
- แล้วคณะกรรมาธิการจะขาดรายได้หรือไม่ ?
ใช่ EU อาจจะขาดเงินที่วางแผนไว้ ในเวลานี้ EU กำลังพิจารณาว่า จะนำเงินทุนของยุโรปไปปรับใช้หรือไม่ เช่น นำไปใช้ในรูปแบบการเช่าซื้อรถยนต์ (Financial Lease) ที่สนับสนุนด้านทางสังคม โดยการเช่าซื้อนี้ได้ออกแบบมาเพื่อช่วยเหลือครอบครัวที่มีรายได้น้อย นาย Séjourné กรรมาธิการอุตสาหกรรมกล่าวว่า “สิ่งนี้จะช่วยให้ครัวเรือนที่มีรายได้น้อยสามารถเช่าซื้อรถไฟฟ้า (EV) ภายใต้เงื่อนไขที่สอดคล้องกับสภาวะการเงินของพวกเขาได้” อย่างไรก็ตาม มีแนวโน้มสูงมากที่ EU จะปรับเปลี่ยนกรอบความช่วยเหลือทางกฎหมายมากกว่าที่จะให้เงินพิเศษที่ได้รับการสนับสนุนจากสหภาพยุโรปโดยตรง ปัจจุบันมีประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป 19 ประเทศที่มีการให้โบนัส e-car หากนายกรัฐมนตรีคนต่อไปของเยอรมนีต้องการที่จะนำโบนัสดังกล่าวกลับมาใช้ น่าจะต้องได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากแหล่งเงินทุนของเยอรมนีเอง
- แล้ว EU ตั้งใจจะสร้างแรงจูงใจใหม่ ๆ ในการซื้อรถ EV โดยไม่ต้องใช้เงินได้อย่างไร ?
เคล็ดลับของการสร้างแรงจูงใจให้ซื้อรถ EV ก็คือ “รถที่ใช้งานเชิงพาณิชย์” โดยในปีที่ผ่านมา รถยนต์ใหม่ 2 ใน 3 คัน ที่ถูกจดทะเบียน เป็นรถที่ใช้เพื่อการพาณิชย์โดยส่วนใหญ่เป็นรถยนต์ประจำบริษัท คณะกรรมาธิการสหภาพยุโรปต้องการสร้างแรงจูงใจกระตุ้นให้บริษัทต่าง ๆ เปลี่ยนรถเหล่านี้ให้เป็นรถ EV ให้เร็วขึ้น นาย Séjourné กรรมาธิการอุตสาหกรรมของ EU ให้สัมภาษณ์กับ Handelsblatt ว่า แรงจูงใจดังกล่าว “จะสามารถปฏิบัติได้โดยผ่านสิทธิประโยชน์ทางภาษี หรือการผ่อนปรนข้อกำหนดด้านกฎระเบียบลง” แรงจูงใจดังกล่าวจะเป็นส่วนหนึ่งของแผนผลักดันอุตสาหกรรมรถยนต์ของ EU ที่คณะกรรมาธิการฯ วางแผนจะนำเสนอในปีนี้
- คณะกรรมาธิการยุโรปจะยกเลิกการห้ามจดทะเบียนเครื่องยนต์สันดาปปี 2035 จริงหรือไม่ ?
ไม่อย่างแน่นอน โดยคณะกรรมาธิการยุโรปยึดมั่นกับเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศที่ตั้งไว้ ซึ่ง EU เน้นย้ำเรื่องนี้อีกครั้งในวันพุธที่ผ่านมา โดยแทนที่จะตั้งข้อสงสัยกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ EU จะทำให้เส้นทางไปสู่เป้าหมายดังกล่าวง่ายขึ้น โดยเป้าหมายตั้งไว้ว่า ตั้งแต่ปี 2035 เป็นต้นไป จะไม่อนุญาตให้จดทะเบียนรถยนต์ใหม่ที่มีเครื่องยนต์สันดาปในสหภาพยุโรป หมายความว่า ในทางกลับกัน หลังจากปี 2035 รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปก็ยังคงมีและใช้งานอยู่บนท้องถนนได้ โดยเฉพาะรถที่ได้รับการจดทะเบียนแล้ว นอกจากนี้ เป็นไปได้ที่จะมีข้อยกเว้นเกี่ยวกับรถที่ใช้เชื้อเพลิง e-fuel
- e-fuel จะมีบทบาทอย่างไรในอนาคต ?
ในแผนปฏิบัติการเข็มทิศฯ คณะกรรมาธิการยุโรปย้ำว่า ในอนาคตคณะกรรมาธิการจะให้ความสำคัญต่อเทคโนโลยีแบบเปิด ซึ่งเชื้อเพลิงแบบ e-fuel จะเข้ามามีบทบาทสำคัญด้วยเช่นกัน เพื่อจุดประสงค์นี้ ระเบียบข้อบังคับจำกัดที่เกี่ยวข้องกับปริมาณ CO2 ของรถที่ใช้งานเชิงพาณิชย์จะต้องได้รับการปรับปรุงในระหว่างการทบทวนกฎหมายที่วางแผนไว้ในปี 2026 หมายความว่า แม้จะผ่านปี 2035 ไปแล้ว รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปก็ยังควรได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนใหม่ได้ หากใช้ e-fuel ที่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) อย่างไรก็ตามเรื่องนี่น่าจะเป็นเรื่องพิเศษมาก ๆ ที่จะทำการยกเว้นไว้
- จะมีเงื่อนไข Buy-European มั้ย ?
ตามกฎขององค์การการค้าโลก (WTO – World Trade Organization) ประเทศอื่น ๆ จะต้องได้รับการอุดหนุนเท่าเทียมกันกับการสนับสนุนในประเทศ อย่างไรก็ตาม คณะกรรมาธิการ EU กำลังพิจารณาว่า จะออกแบบนโยบายส่งเสริมการซื้อรถยนต์ EV และสิ่งจูงใจอื่น ๆ อย่างไร เพื่อให้ผู้ผลิตรถยนต์ในยุโรปได้รับผลประโยชน์ ป้องกันไม่ให้ผู้ผลิตจากจีนมารับผลประโยชน์จากการสนับสนุนนี้ ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะดำเนินการดังกล่าวผ่านระบบการให้คะแนนส่งเสริมยานยนต์ที่ผลิตในยุโรปที่มีมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมที่ดีกว่าเป็นต้น นาย Séjourné กรรมาธิการอุตสาหกรรมกล่าวว่า “กฎระเบียบพิเศษสามารถใช้เพื่อสนับสนุนยานยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และในขณะเดียวกันก็เป็นระบบการบังคับในระดับหนึ่งไปพร้อม ๆ กัน”
- มีอะไรคืบหน้าบ้าง ในด้านอัตราภาษี ?
ปีที่ผ่านมาคณะกรรมาธิการ EU ได้กำหนดภาษีกีดกันรถ EV ที่นำเข้าจากจีน โดยเยอรมนีได้ต่อต้านภาษีดังกล่าวอย่างมาก เพราะผู้ผลิตยานยนต์ของเยอรมนีกลัวมาตรการตอบโต้จากจีน ขนาดที่ BMW เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของผู้ฟ้องร้อง EU ร่วมกับผู้ผลิตยานยนต์สัญชาติจีน และ Tesla เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม คณะกรรมาธิการ EU ได้เน้นย้ำหลายครั้งว่า การเรียกเก็บภาษีดังกล่าวเป็นการตอบโต้ที่สอดคล้องกับข้อกำหนดของ WTO ปัจจุบันยังไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะมีการเจรจาระหว่างจีนกับสหภาพยุโรปเพื่อหาทางออกในเรื่องดังกล่าว
- จะมีหัวข้ออื่น ๆ อะไรบ้าง ที่จะมีบทบาทในการหารือเชิงกลยุทธ์ ?
เหนือสิ่งอื่นใดการหารือเชิงกลยุทธ์นี้จะมุ่งเน้นไปที่หัวข้อต่าง ๆ ที่จะมีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ในอนาคต เช่น การเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ระบบดิจิทัล ซอฟต์แวร์ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) การขับขี่อัตโนมัติ หรือแบตเตอรี่แห่งอนาคต คณะกรรมาธิการ EU ไม่ต้องการถูกคู่แข่งทิ้งไว้ข้างหลังในหัวข้อเหล่านี้ โดยร่างแผนปฏิบัติการสำหรับผลักดันอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่ง Handelsblatt มีในมือฉบับบนี้ระบุถึง “บทหารือจะประเมิน ‘สถานะในปัจจุบัน’ ของพื้นที่เทคโนโลยีที่สำคัญที่สุด นอกจากนี้จะระบุลำดับความสำคัญ และเป้าหมายที่ต้องบรรลุให้ได้” อีกด้วย
จาก Handelsblatt 17 กุมภาพันธ์ 2568
[1] ก่อนหน้านี้ผู้ผลิตสามารถสร้างค่าดังกล่าวได้ที่ 115.1 กรัม CO2 ต่อ 1 กิโลเมตรที่ 1 ยานพาหนะสร้างขึ้น ในปีปัจจุบัน 2025 ค่าดังกล่าวจะลดลงเหลือ 93.6 กรัม และในปี 2030 จะลดลงเหลือ 49.5 กรัม หากผู้ผลิตไม่สามารถรักษาค่าดังกล่าวได้ต้องเสียค่าปรับตามจำนวนยานพาหนะที่สร้างค่าดังกล่าวเกิน ซึ่ง EU จัดว่ารถ EV ไม่สร้างค่า CO2 เหตุนี้ผู้ผลิตต้องเพิ่มการผลิตรถ EV ลดการผลิตรถสันดาปลง