ผลกระทบจากนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ที่มีต่อฝรั่งเศส

นโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์

–         หลังจากการปรับขึ้นภาษีการค้ากับแคนาดา เม็กซิโกและจีนแล้ว เป้าหมายต่อไปของปธน.ทรัมป์ได้แก่สหภาพยุโรป เนื่องมาจากสหรัฐฯเป็นฝ่ายเสียดุลการค้า โดยในปี 2023 สหรัฐฯนำเข้าสินค้าจากสหภาพยุโรปทุกประเภทรวมกันคิดเป็นมูลค่า 503.8 พันล้านยูโร ในขณะที่สหภาพยุโรปนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯคิดเป็นมูลค่า 347.2 พันล้านยูโร ซึ่งประธานาธิบดี Trump ต้องการ สร้างความเท่าเทียมกันในด้านภาษีนำเข้าระหว่างสหรัฐฯและคู่ค้า  ดังเช่นปัจจุบันภาษีนำเข้ารถยนต์จากทวีปยุโรปอยู่ที่ร้อยละ 5 ในขณะที่ภาษีนำเข้ารถยนต์จากสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ระดับร้อยละ 3.4

–         การถอนตัวจากความตกลงปารีส (Paris Agreement) ถึงแม้ว่าสหรัฐฯจะเป็นประเทศที่ก่อให้เกิดแก๊สเรือนกระจกเป็นอันดับที่ 2 ของโลก

สถานการณ์เศรษฐกิจฝรั่งเศส

หากเทียบกับประเทศอื่นๆในสหภาพยุโรป เศรษฐกิจฝรั่งเศสจะได้รับผลกระทบจากนโยบายการปรับขึ้นภาษีน้อยกว่า  เนื่องจากสัดส่วนสินค้าที่ฝรั่งเศสส่งออกไปยังสหรัฐฯคิดเป็นเพียงร้อยละ 7 ของปริมาณการส่งออกทั้งหมด (มูลค่า 48.1 พันล้านยูโร) ต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เยอรมนี(ร้อยละ 10) หรืออิตาลี (ร้อยละ 11)  นอกเหนือจากนั้น อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจฝรั่งเศส (GDP) ที่ขึ้นอยู่กับการส่งออกอยู่ที่ระดับต่ำกว่าร้อยละ 2 ต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน เช่น อิตาลี (ร้อยละ 3)หรือเยอรมนี (ใกล้เคียงร้อยละ 4)

ปัจจุบันฝรั่งเศสเป็นฝ่ายเสียดุลการค้าให้กับสหรัฐฯ โดยในปี 2023 มีมูลค่าการส่งออก 48.1 พันล้านยูโร, นำเข้า 61.4 พันล้านยูโร   แต่หากปธน.ทรัมป์ออกนโยบายกีดกันทางการค้าต่อสหภาพยุโรปโดยตรง  ฝรั่งเศสย่อมจะได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง โดยเฉพาะสินค้าบางประเภทในอนาคตอันใกล้

ผลกระทบ

เศรษฐกิจของสหภาพยุโรปจะได้รับผลกระทบจากนโยบายปรับขึ้นภาษีเหล็กกล้าและอลูมิเนียมนำเข้าจากทุกประเทศที่ปรับขึ้นในระดับร้อยละ 25 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคมนี้เป็นต้นไป เนื่องจากการส่งออกสินค้าชนิดนี้ของทั้งภูมิภาครวมกันกว่าร้อยละ 25 ส่งออกไปยังสหรัฐฯ (ปี 2023 มูลค่า 500,000 ล้านยูโร)  ซึ่งเศรษฐกิจฝรั่งเศสเองขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจของสหภาพยุโรปที่เป็นคู่ค้าสำคัญ โดยเฉพาะเยอรมนี

ผลกระทบทางตรง

หากมีการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหภาพยุโรป  ธุรกิจและอุตสาหกรรมการผลิตฝรั่งเศสที่อาจจะได้รับผลกระทบได้แก่สินค้าที่มีทั้งสัดส่วนและมูลค่าในการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาสูง ซึ่งมีหลายรายการได้แก่  อุตสาหกรรมการผลิตเรือ ซึ่งมีสัดส่วนการส่งออกร้อยละ 31 ไปยังสหรัฐอเมริกา, อาวุธยุทโธปกรณ์ (ร้อยละ 25), อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องบินและส่วนประกอบ (ร้อยละ 14) และเป็นสินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกสูงที่สุด อย่างไรก็ตามสินค้าประเภทสุดท้ายนี้จะยังไม่น่าเป็นกังวลเนื่องจากมีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมการผลิตเครื่องบิน Boeing ของสหรัฐฯ

ผลกระทบทางอ้อม 

  • ผลกระทบต่อเนื่องมาจากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน แคนาดาและเม็กซิโก

อุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์และอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องบินและส่วนประกอบ ที่มีฐานการผลิตอยู่ในแคนาดา เม็กซิโก และจีน ย่อมได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีนำเข้า ซึ่งฝรั่งเศสมีผู้ผลิต 230 รายในจีน (ร้อยละ 8 ของผลประกอบการทั้งหมด) ในแคนาดาและเม็กซิโกรวมกัน 112 ราย (ร้อยละ 7) จาก 1,700 รายทั่วโลก

อุตสาหกรรมการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิค ผลประกอบการร้อยละ 15 มาจากฐานการผลิตในประเทศจีน

  • ผลจากการตอบโต้นโยบายการขึ้นภาษีต่อสินค้าไวน์และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

ผู้ประกอบการฝรั่งเศสมีความกังวลเป็นอย่างมากต่อสงครามการค้าที่เกิดขึ้นในครั้งนี้  เนื่องจากในหลายครั้งที่ผ่านมาสินค้าประเภทนี้ตกเป็นเป้าหมายในสงครามการค้า ดังเช่นในเดือนตุลาคม 2024 ที่ผ่านมาจีนปรับขึ้นภาษีเครื่องดื่มคอนยัค (เพิ่มขึ้นร้อยละ 30.6-39) และผลิตภัณฑ์นมที่มาจากฝรั่งเศส เพื่อตอบโต้ที่สหภาพยุโรปขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีน  จึงเกรงว่าสหรัฐฯอาจจะดำเนินนโยบายไปในทางเดียวกัน เนื่องจากสหรัฐฯเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของฝรั่งเศส (ปี 2023 ส่งออกมูลค่า 3.6 พันล้าน) และฝรั่งเศสพึ่งพาการส่งออกสินค้าชนิดนี้มากกว่าประเทศอื่นๆในสหภาพยุโรป

อีกประเด็นที่จะต้องจับตามอง ได้แก่ ราคาพลังงาน เนื่องจากสหรัฐฯกลายเป็นผู้ส่งออกแก๊สธรรมชาติรายสำคัญอันดับที่สอง ให้กับฝรั่งเศส (ร้อยละ 3 ในปี 2019 ขึ้นเป็น ร้อยละ 26 ในปี 2023)

แนวทางของประเทศฝรั่งเศสในการรับมือ

–         ขณะนี้ยังไม่มีนโยบายที่มุ่งเป้ามายังฝรั่งเศสโดยตรง แต่มีความเป็นไปได้ว่าฝรั่งเศสจะต้องดำเนินนโยบายตามสหภาพยุโรปเพื่อตอบโต้การปรับขึ้นภาษีสินค้าเหล็กกล้าและอลูมิเนียม  โดยนาง Ursula von der Leyen ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปกล่าวว่าสถานการณ์นี้จะส่งผลเสียต่อทั้งสหภาพยุโรปและทางฝั่งสหรัฐฯด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าทางสหภาพยุโรปจะตอบโต้นโยบายนี้ด้วยการปรับภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯซึ่งสินค้าที่มีความเป็นไปได้ ได้แก่ วิสกี้, ยีนส์และมอเตอร์ไซค์ Harley Davidson เป็นต้น

–         ในขณะที่สหรัฐฯเพิกเฉยต่อนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม ฝรั่งเศสจะใช้โอกาสนี้ในการเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีสีเขียว (Green Technology) เพื่อกลายเป็นผู้นำร่วมกันกับสหภาพยุโรป

ความเห็นสคต.

จากผลกระทบที่จะเกิดขึ้นนี้อาจส่งผลให้ฝรั่งเศสมีความจำเป็นที่ต้องขยายตลาดการค้าด้วยการหาคู่ค้าใหม่ รวมถึงการหาฐานการผลิตสินค้าใหม่  โดยเฉพาะในส่วนของสินค้าที่มีฐานการผลิตในแคนาดา เม็กซิโกและจีน ซึ่งจะเป็นโอกาสอันดีที่จะทำความร่วมมือทางการค้าและการลงทุนในภูมิภาคอื่นๆ ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วยเช่นเดียวกัน

อย่างไรก็ตามนโยบายของปธน.ทรัมป์มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว ดังนั้นผู้ประกอบการไทยควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดซึ่งจะช่วยต่อการปรับตัวตามความต้องการตลาดได้อย่างทันท่วงที

ที่มาของข่าว

ข้อมูลจาก BPIFrance

https://lelab.bpifrance.fr/enquetes/trump-2.0-quelles-consequences-pour-les-entreprises-francaises

thThai