ประธานาธิบดีสหรัฐฯ นาย โดนัลด์ ทรัมป์ ได้โพสต์ข้อความบนโซเชียลมีเดียเปิดทางให้กับความเป็นไปได้ “อย่างน้อยในทางทฤษฏี” ในการเรียกเก็บภาษีจากสินค้ามูลค่าหลายหมื่นล้านเหรียญที่สหรัฐฯ นำเข้าจากสิงคโปร์
หลังจากที่ประกาศแผนการเรียกเก็บภาษีศุลกากรแบบตอบโต้กับประเทศใดก็ตามที่จัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ สูงกว่าสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 นายทรัมป์ได้โพสต์ข้อความบน Truth Social ว่า “เพื่อวัตถุประสงค์ของนโยบาย สหรัฐฯ จะพิจารณาว่าประเทศที่ใช้ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value-Added Tax : VAT) เป็นระบบที่มีผลกระทบทางภาษีรุนแรงกว่าภาษีศุลกากร หรืออาจถูกพิจารณาว่ามีลักษณะคล้ายคลึงกับการจัดเก็บภาษีศุลกากร”
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value-Added Tax: VAT) เป็น ภาษีการบริโภคในวงกว้าง ที่เรียกเก็บจาก มูลค่าเพิ่มของสินค้าและบริการ ในแต่ละขั้นตอนของห่วงโซ่อุปทาน โดยมีการบังคับใช้ใน ประมาณ 175 ประเทศทั่วโลก ระบบนี้มีความคล้ายคลึงกับ ภาษีสินค้าและบริการ (Goods and Services Tax: GST) ของสิงคโปร์ ซึ่งเรียกเก็บจาก การขายภายในประเทศและการนำเข้าสินค้าจากทุกประเทศ รวมถึงสหรัฐอเมริกา ในอัตรา 9% โดยมี ข้อยกเว้นสำหรับสินค้าบางประเภท
สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา ระบุว่า มูลค่าการค้าสินค้าระหว่างสหรัฐฯ และสิงคโปร์ ในปี 2567 อยู่ที่ประมาณ 89,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยการส่งออกสินค้าของสหรัฐฯ ไปยังสิงคโปร์มีมูลค่า 46,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 8.4 %จากปี 2566 ในขณะเดียวกัน การนำเข้าสินค้าจากสิงคโปร์มีมูลค่ารวม 43,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 5.6% ดังนั้น ดุลการค้าสินค้าของสหรัฐฯ กับสิงคโปร์อยู่ที่ 2,800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 84.8 % จากปี 2566 ดุลการค้าที่ดังกล่าวนั้นแตกต่างจากกับการขาดดุลการค้าที่สหรัฐฯ มีกับหลายประเทศ โดยนายทรัมป์มองว่า ไม่เป็นธรรมต่อสหรัฐฯ จึงเป็นเหตุผลหลักที่สิงคโปร์มั่นใจว่าการส่งออกไปยังสหรัฐฯ จะสามารถหลีกเลี่ยงมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ได้ (เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 นายนายวิเวียน บาลากริชนัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสิงคโปร์ กล่าวต่อรัฐสภาฯ ว่า ไม่คาดว่าสิงคโปร์จะเป็นเป้าหมายโดยตรงของมาตรการภาษีศุลกากรสหรัฐฯ เนื่องจากสหรัฐฯ มีดุลการค้าเกินดุลกับสิงคโปร์)
นับตั้งแต่ปี 2547 ซึ่งเป็นปีที่ข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างสหรัฐฯ กับสิงคโปร์ (USSFTA) มีผลบังคับใช้ การค้าทวิภาคีเพิ่มขึ้นเป็นสามเท่า แม้ว่าสหรัฐฯ จะรักษาดุลการค้ากับสิงคโปร์อย่างต่อเนื่อง สำนักงานการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (US International Trade Administration) รับรองว่า สินค้าส่งออกของสหรัฐฯ ไปยังสิงคโปร์ได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้ายกเว้นบางรายการ เช่น ภาษีสรรพสามิตสำหรับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาสูบด้วยเหตุผลทางสังคม โดยสิงคโปร์ยังกำหนดภาษีสรรพสามิตสำหรับยานยนต์และผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมบางประเภท ซึ่งเป็นสารเคมีที่ระบุไว้ภายใต้อนุสัญญารอตเตอร์ดัมว่าเป็นสินค้าที่ก่อให้เกิดมลพิษ อย่างไรก็ตาม ภาษีเหล่านี้ถูกบังคับใช้กับสินค้านำเข้าจากทุกประเทศ ไม่ใช่เฉพาะสหรัฐฯ
การขยายเครือข่ายเพื่อกำหนดเป้าหมายไปยังประเทศที่มีภาษีมูลค่าเพิ่มหรือภาษีการบริโภคที่คล้ายคลึงกันมีความสอดคล้องกับนโยบายอัตราภาษีศุลกากรสากลที่นายทรัมป์เสนอไว้ระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งในปี 2567 เขาให้คำมั่นว่า จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากคู่ค้าทั้งหมด 25% ไม่ว่าจะมี ข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) หรือไม่ก็ตาม และประกาศแผนเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในอัตรา 60 % ขณะนี้ มีการศึกษาวิจัยมาตรการจัดเก็บภาษีแบบตอบโต้สำหรับสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ ทั้งหมด โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในวันที่ 1 เมษายน 2568 นอกจากนี้ ยังเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนอีก 10% และจัดเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียม 25%
นางสาวเซเลนา หลิง หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์และหัวหน้าฝ่ายวิจัยและกลยุทธ์ด้านการคลังของธนาคาร OCBC กล่าวว่า หาก โดนัลด์ ทรัมป์ สามารถผลักดันมาตรการนี้ไปสู่การปฏิบัติ สหรัฐฯ อาจขยายขอบเขตนโยบายทางเศรษฐกิจออกไปนอกอาณาเขต ซึ่งในทางทฤษฎี สิงคโปร์อาจได้รับผลกระทบ อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) และดุลการค้าเกินดุลของสหรัฐฯ กับสิงคโปร์อาจช่วยลดความเสี่ยงจากมาตรการดังกล่าวได้
การส่งออกของสิงคโปร์ไปยังสหรัฐฯ อาจช่วยให้สิงคโปร์หลีกเลี่ยงสงครามการค้ากับสหรัฐฯได้ เนื่องจากสินค้าส่งออกส่วนใหญ่ของสิงคโปร์ไปยังสหรัฐฯ เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะเซมิคอนดักเตอร์ รวมถึงผลิตภัณฑ์ยา เช่น วัคซีน อุปกรณ์ขนส่ง เช่น เครื่องยนต์เครื่องบิน นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมกลั่น ที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ ส่วนใหญ่เป็นสารเคมีที่ได้จากน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ โดยผู้ส่งออกชั้นนำของสิงคโปร์ไปยังสหรัฐฯ คือบริษัทข้ามชาติที่มีสำนักงานใหญ่ในสหรัฐฯ เช่น บริษัท Applied Materials, Micron และ GlobalFoundries (อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์) Pfizer, Novartis และ Merck (อุตสาหกรรมยา) Pratt & Whitney และ GE (อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ) และ ExxonMobil และ LyondellBasell (อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์) ดังนั้น มาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ต่อสินค้าส่งออกของสิงคโปร์จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อบริษัทข้ามชาติในสิงคโปร์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ตามข้อมูลของ Nomura International ธนาคารเพื่อการลงทุนของญี่ปุ่น ระบุว่า ถึงแม้สิงคโปร์จะหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากรโดยตรงจากสหรัฐฯ แต่ได้รับผลกระทบเชิงลบจากภาษีศุลกากรสากลที่บังคับใช้กับส่วนอื่นๆ ของโลก ผลกระทบดังกล่าวส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศของสิงคโปร์เติบโตที่ 4.5% ในปี 2567 โดยมีมูลค่าประมาณ 731,400 ล้านเหรียญสิงคโปร์
ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ
สิงคโปร์ในฐานะประเทศขนาดเล็กที่มีโครงสร้างเศรษฐกิจพึ่งพาการค้าเป็นหลัก อาจยังคงได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าที่ยืดเยื้อ โดยเฉพาะมาตรการด้านภาษีศุลกากร ซึ่งอาจส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทาน และการค้าโลก ผลกระทบดังกล่าวอาจส่งผลให้สิงคโปร์ในฐานะศูนย์กลางการค้าและการเงินระดับโลก อาจต้องปรับกลยุทธ์เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันเพื่อเพิ่มศักยภาพในการรับมือกับความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น
ประเทศไทยซึ่งมีเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยการส่งออก อาจได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าในหลายด้าน โดยเฉพาะมาตรการภาษีศุลกากรที่กระทบต่อห่วงโซ่อุปทานและต้นทุนการผลิต อย่างไรก็ตาม สงครามการค้าอาจเปิดโอกาสให้กับประเทศไทย โดยได้รับประโยชน์จากบริษัทข้ามชาติที่ต้องการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานเพื่อลดผลกระทบจากข้อพิพาททางการค้า นอกจากนี้ การผลักดันข้อตกลงการค้าเสรีและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอาจเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยลดผลกระทบและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
แหล่งที่มาข้อมูล/ภาพ : https://www.straitstimes.com/business/trumps-new-focus-on-consumption-taxes-may-entangle-spore-in-his-global-trade-war