ผลการเลือกตั้งในประเทศเยอรมนีเบื้องต้น ฝ่ายอนุรักษ์นิยม พรรคสหภาพคริสเตียนเพื่อประชาธิปไตยประเทศเยอรมนี (CDU – Christlich Demokratische Union Deutschlands) และพรรคสหภาพสังคมนิยมคริสต์เตียนแห่งนครรัฐบาวาเรีย (CSU – Christlich-Soziale Union in Bayern) ได้รับคะแนนเสียงสูงสุด ส่วนพรรคสังคมนิยมเพื่อประชาธิปไตยเยอรมนี (SPD – Sozialdemokratische Partei Deutschlands) ของอดีตนายกรัฐมนตรี นาย Olaf Scholz ต้องพ่ายแพ้ ในขณะที่ หนี่งในห้าของผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงให้กับพรรคฝ่ายขวา สิ่งเหล่านี้มีความหมายอย่างไรต่อประเทศเยอรมนี
ในคืนการเลือกตั้งวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2568 ณ กรุงเบอร์ลิน นาย Friedrich Merz ผู้นำพรรค CDU และผู้สมัครชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแห่งสหพันธ์ฯ กล่าวอย่างกระตือรือร้นว่าพรรค CDU/CSU ได้บรรลุเป้าหมาย “เราชนะการเลือกตั้งระดับชาติปี 2568” อย่างไรก็ตาม พวกเขาได้รับคะแนนเสียงเพียงร้อยละ 28 ซึ่งต่ำกว่าที่คาดหวัง อย่างน้อยร้อยละ 30 ตามที่พูดในช่วงหาเสียง ทำให้ไม่เพียงพอที่จะบริหารประเทศเพียงพรรคเดียวได้ และต้องหาพรรคพันธมิตรเพื่อให้ได้เสียงข้างมากตามที่ต้องการมาจัดตั้งรัฐบาล
หากพิจารณาจากคะแนนเสียงที่พรรคทางเลือกเพื่อเยอรมนี (AFD – Alternative für Deutschland) ได้รับ ซึ่งอยู่อันดับสองก็อาจนับเป็นตัวเลือกหนึ่ง โดยผู้มีสิทธิเลือกตั้งถึง 1 ใน 5 เลือกพรรคฝ่ายประชานิยมนี้ ซึ่งบางส่วนถือเป็นพรรคขวาจัด ทั้งนี้ นาง Alice Weidel ผู้นำร่วมของพรรค AfD กล่าวว่าพรรค CDU/CSU จะสามารถทำตามสัญญาตามที่หาเสียงได้ เช่น การยุติการอพยพระหว่างประเทศโดยผิดกฎหมาย ก็ต่อเมื่อทำงานร่วมกับพรรค AfD เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง พรรค CDU/CSU ตัดสินใจเด็ดขาดที่จะไม่ร่วมจัดตั้งรัฐบาลผสมกับพรรค AfD เนื่องจากความเห็นพื้นฐานที่แตกต่างกัน เช่น นโยบายต่างประเทศ นโยบายความมั่นคง โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับยุโรป นาโต และสกุลเงินยูโร
ทั้งนี้ นาย Markus Söder ผู้นำพรรค CSU ได้วิเคราะห์ความสำเร็จของพรรค AfD ที่ได้คะแนนเสียงมากเป็นอันดับสองในครั้งนี้ ว่าเกิดจากผู้คนไม่แน่ใจว่าพรรค CDU/CSU จะปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาด้านนโยบายผู้ลี้ภัยได้จริงหรือไม่ โดยนาย Markus Söder ได้กล่าวย้ำว่า “เราจะทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อจัดระเบียบการเปลี่ยนแปลงทิศทางของประเทศเยอรมนี”
ในการนี้ พรรคสังคมนิยมเพื่อประชาธิปไตยเยอรมนี (SPD – Sozialdemokratische Partei Deutschlands) ฝ่ายกลางซ้าย และพรรคกรีน (Die Grünen) ซึ่งเป็นนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ถือว่ามีศักยภาพในการเป็นพันธมิตรร่วมก่อตั้งรัฐบาล อย่างไรก็ตาม ทั้งสองพรรคซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลชุดก่อนต้องทำใจกับความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งครั้งนี้เสียก่อน ซึ่งพรรค SPD ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากผลการเลือกตั้งที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1890 ด้วยคะแนนเสียงเพียงร้อยละ 16
เมื่อพิจารณาช่วงห้าทศวรรษที่ผ่านมา นาย Olaf Scholz เป็นนายกรัฐมนตรีเยอรมันเพียงคนเดียวที่ไม่ได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งสมัยที่สอง อีกทั้ง พรรคพันธมิตรของเขาซึ่งประกอบด้วยพรรค SPD พรรคกรีน และพรรคเสรีประชาธิปไตย (FPD: Freie Demokratische Partei) ได้บริหารประเทศไม่ถึงสามปี และเมื่อกลุ่มรัฐบาลสัญญาณไฟจราจรล่มสลายเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2024 เนื่องจากข้อพิพาทเรื่องงบประมาณ นาย Scholz ได้ประกาศแล้วว่า เขาไม่ต้องการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีหากพรรค SPD ได้เป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลใหม่
ในขณะที่ พรรค FDP พ่ายแพ้อย่างยับเยินด้วยคะแนนเสียงไม่ถึงร้อยละ 5 ส่งผลให้พวกเขาไม่มีสิทธิ์เป็นตัวแทนในรัฐสภาบุนเดสทาคชุดต่อไปได้ ซึ่ง นาย Christian Lindner หัวหน้าพรรค FDP ได้ประกาศลาออกจากการเมืองหลังความพ่ายแพ้นี้ ส่วนทางพรรคกรีน นาย Robert Habeck หัวหน้าพรรค กล่าวว่า หากพรรค CDU/CSU ต้องการให้พรรคกรีนจัดตั้งรัฐบาลผสม พรรคของเขาก็พร้อมที่จะพูดคุย
นอกจากนี้ พรรคฝ่ายสหภาพ CDU/CSU ได้ตัดสินใจไม่จัดตั้งรัฐบาลผสมกับพรรคซ้าย (Die Linke) ฝ่ายสังคมนิยมแล้วเช่นกัน ทั้งนี้ จากการปลีกตัวของนาง Sahra Wagenknecht จากพรรคซ้ายออกมาตั้งพรรคใหม่เป็นพรรค Sahra Wagenknecht Alliance (BSW) เมื่อต้นปี ค.ศ. 2024 การสนับสนุนพรรคซ้ายก็ลดลงเหลือร้อยละ 3 จากผลสำรวจ อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา พรรคซ้ายกลับได้รับคะแนนเสียงถึงร้อยละ 8 จึงกลายเป็นผู้ชนะอย่างน่าประหลาดใจท่ามกลางพรรคการเมืองเล็ก ๆ
นาย Friedrich Merz ได้กล่าวเน้นเมื่อคืนวันอาทิตย์ว่า ไม่ว่าการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลผสมจะซับซ้อนเพียงใด หรือรัฐบาลในอนาคตของเยอรมนีต้องเผชิญกับความท้าทายมหาศาล เมื่อพิจารณาถึงปัญหาเร่งด่วนมากมาย กระบวนการจัดตั้งรัฐบาลต้องรวดเร็ว “โลกไม่ได้รอเรา และไม่ได้รอการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลผสมที่ยาวนาน” เขากล่าว
ปัจจุบัน ประเทศเยอรมนีกำลังเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่การรวมประเทศ สำหรับพรรค CDU ภายใต้การบริหารของนาย Friedrich Merz เขาสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจและเรียกร้องให้ลดงานบริการทางสังคม โดยความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับรัฐบาลชุดใหม่คือการจัดหาเงินทุนสำหรับงบประมาณในอนาคต รายได้จากภาษีไม่เพียงพออีกต่อไปสำหรับภารกิจทั้งหมดของรัฐบาล เช่น การใช้จ่ายทางทหารที่เพิ่มขึ้น การฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่พังทลาย การเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นมิตรต่อสภาพอากาศ ทั้งหมดนี้ จำเป็นต้องใช้เงินทุนหลายพันล้านยูโร ในช่วงที่เยอรมนีกำลังเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่การรวมประเทศในปี ค.ศ. 1990
การเลือกตั้งระดับประเทศครั้งนี้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่รัสเซียโจมตียูเครนเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2022 ตั้งแต่นั้นมา รัฐบาลเยอรมันได้จัดสรรเงินประมาณ 28 พันล้านยูโร (หรือ 29 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อสนับสนุนทางการทหารแก่ยูเครน ทำให้เยอรมนีกลายเป็นผู้สนับสนุนรัฐบาลกรุงเคียฟมากเป็นอันดับสองรองจากสหรัฐอเมริกา แต่สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ เข้ารับตำแหน่งเป็นครั้งที่สองในเดือนมกราคมที่ผ่านมา และรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดใหม่ได้หันหลังให้กับยุโรป โดยกล่าวว่าการช่วยเหลือยูเครนเพิ่มเติมนั้นเป็นงานของยุโรปเป็นหลัก นับจากนี้เป็นต้นไป ยุโรปจะต้องรับผิดชอบต่อความสามารถในการป้องกันประเทศของตนเองให้มากขึ้นด้วย
สำหรับนโยบายเศรษฐกิจของพรรค CDU นำเสนอด้วยแนวคิด “หากไม่มีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่มีความหมาย” พรรคมีนโยบายมุ่งพาเศรษฐกิจของเยอรมนีก้าวไปข้างหน้า ส่งเสริมให้บริษัทเยอรมันสามารถแข่งขันในระดับนานาชาติได้ดีขึ้นเพื่อสร้างงานที่มั่นคง ดังนี้
1) การลดหย่อนภาษี บริษัทไม่ควรจ่ายภาษีเกินร้อยละ 25 จากกำไรสะสม และมีทางเลือก ให้บริษัทต่าง ๆ ในการจัดการด้านภาษีที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อเพิ่มการลงทุนของบริษัท รวมถึงยกเลิกค่าธรรมเนียม Solidarity Surcharge และปรับปรุงค่าเสื่อมราคาและการชดเชยการสูญเสียในกฎหมายภาษี
2) การลดขั้นตอนทางราชการ กำจัดระเบียบราชการที่ไม่จำเป็น โดยกฎหมายลดความซับซ้อนและลดขั้นตอนราชการ ลดข้อกำหนดในการรายงานและโครงสร้างที่ซ้ำซ้อน รวมถึงยกเลิกพระราชบัญญัติห่วงโซ่อุปทานของเยอรมัน
3) ยุติการปฏิบัติตามกฎหมายของยุโรปมากเกินไป ด้วยนโยบายเพิกถอนการปฏิบัติตามกฎหมายของยุโรปมากเกินไปของเยอรมนี และป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีกในอนาคต
4) สร้างคนทำงานและดึงดูดแรงงานที่มีทักษะ สร้างระบบประกันพื้นฐานใหม่แทนที่ระบบเบี้ยเลี้ยงพลเมือง (Bürgergeld) นำระบบบำนาญแบบแอคทีฟ (Aktivrente) มาใช้เพื่อเพิ่มแรงงาน โดยดึงดูดผู้รับบำนาญที่ต้องการทำงานต่อโดยสมัครใจควรได้รับอนุญาตให้หารายได้ได้ถึง 2,000 ยูโรต่อเดือนโดยไม่ต้องเสียภาษี รวมถึงการช่วยให้แรงงานที่มีทักษะจากต่างประเทศหางานได้ง่ายขึ้น ด้วยการจัดตั้งหน่วยงานกลางด้านการย้ายถิ่นฐานดิจิทัล („Work-and-Stay-Agentur“)
5) ส่งเสริมการเป็นผู้ประกอบการ สร้าง “เขตคุ้มครองสตาร์ทอัพ” ช่วยให้บริษัทต่าง ๆ ยกเว้นจากกฎระเบียบราชการในช่วงเริ่มต้นธุรกิจ และขยายการจัดหาเงินทุนเริ่มต้นและสร้างเงื่อนไขทางภาษีที่น่าดึงดูดสำหรับธุรกิจเงินร่วมลงทุน
6) สร้างโอกาสทางการค้าในตลาดใหม่ สนับสนุนข้อตกลงใหม่กับอินเดียและประเทศอาเซียนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเสริมสร้างความร่วมมือ โดยเฉพาะกับสหรัฐอเมริกา
ในการนี้ รัฐบาลเยอรมันชุดใหม่จะต้องประชุมหารือกันภายใน 30 วันหลังการเลือกตั้ง หรือภายในวันที่ 25 มีนาคม นี้ โดยตามรัฐธรรมนูญของประเทศเยอรมนี วาระการดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี Olaf Scholz และรัฐบาลกลางชุดเก่าที่เหลือจะสิ้นสุดลงพร้อมกับสมัยประชุมนี้ แต่หากยังไม่มีรัฐบาลชุดใหม่ในช่วงเวลาดังกล่าว รัฐบาลชุดเก่าจะยังคงดำรงตำแหน่งในฐานะรักษาการต่อไป
แหล่งที่มา: https://www.dw.com/
https://www.cdu.de/