ภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบต่อเช็กหนักที่สุดในสหภาพยุโรป

ตามรายงานของ S&P Global ซึ่งเป็นหน่วยงานจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศ คาดว่าสาธารณรัฐเช็กจะเป็นหนึ่งในประเทศยุโรปที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด หากสหรัฐฯ ดำเนินการตามข้อเสนอการจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหภาพยุโรป ร้อยละ 25 โดยภาษีศุลกากรซึ่งผลักดันโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจยุโรปกลางชะลอตัว แม้ว่าภูมิภาคนี้จะมีความเสี่ยงด้านการค้าโดยตรงกับสหรัฐฯ อยู่ในระดับไม่สูงมากนักก็ตาม สำหรับสาธารณรัฐเช็กจะเผชิญกับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่สำคัญเนื่องจากการการพึ่งพาภาคการผลิตโดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ รวมถึงการเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับเศรษฐกิจของเยอรมนี ส่งผลให้มีปัจจัยเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น ตัวอย่างเช่น การส่งออกเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่างๆ ของสาธารณรัฐเช็กไปยังเยอรมนีคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 10 ของการส่งออกทั้งหมด โดยสาธารณรัฐเช็กมีการส่งออกคิดเป็นร้อยละ 69 ของผลผลิตทางเศรษฐกิจทั้งหมดของประเทศ (ข้อมูลจาก Eurostat)

 

เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา ทรัมป์ได้ประกาศว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะจัดเก็บภาษีสินค้าจากยุโรปในเร็วๆ นี้ โดยให้เหตุผลว่านโยบายการค้าของสหภาพยุโรปได้ส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของสหรัฐฯ แต่อย่างไรก็ตาม คณะกรรมาธิการยุโรปได้ให้คำมั่นว่าจะตอบสนอง “อย่างหนักแน่นและรวดเร็ว” หากมีการบังคับใช้มาตรการดังกล่าว ทั้งนี้ หลังจากที่ทรัมป์ประกาศเรื่องนี้ ส่งผลให้เมื่อวันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 ค่าเงินเช็กคราวน์ของสาธารณรัฐเช็กอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับเงินยูโร ขณะที่ค่าเงินซลอตีของโปแลนด์ก็ลดลงจากระดับสูงสุดในรอบ 10 ปีเช่นกัน Mr. Nicholas Farr นักเศรษฐศาสตร์จาก Capital Economics บอกกับสำนักข่าวรอยเตอร์ (Reuters) ว่าเขาประเมินเรื่องภาษีที่เสนอนี้อาจทำให้การเติบโตของ GDP ในยุโรปกลางลดลงโดยเฉลี่ยร้อยละ 0.5 ซึ่งส่งผลกระทบมากกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ นอกเหนือจากภาษีแล้ว นักวิเคราะห์ยังชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงทางเศรษฐกิจในวงกว้างสำหรับภูมิภาคนี้ ซึ่งรวมถึงความต้องการรถยนต์เยอรมันที่ลดลงในสาธารณรัฐเช็ก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของสาธารณรัฐเช็กด้วยขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในภาคอุตสาหกรรมของเยอรมนีเป็นสำคัญ

 

S&P ระบุว่า แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะยังคงสูงขึ้นตั้งแต่รัสเซียบุกยูเครนในปี 2022 และปัญหาด้านงบประมาณที่ยังคงมีอยู่ เศรษฐกิจที่หยุดชะงักอาจทำให้การขาดดุลการคลังในประเทศต่างๆ ในยุโรปกลางหลายแห่ง รวมทั้งสาธารณรัฐเช็กแย่ลง โดยเฉพาะสาธารณรัฐเช็กที่มีเศรษฐกิจขนาดเล็กที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลักยังคงมีความเสี่ยงสูง และเพื่อเป็นการเตรียมรับมือกับอุปสรรคทางเศรษฐกิจ ผู้กำหนดนโยบายในสาธารณรัฐเช็กกำลังเฝ้าติดตามความคืบหน้าเพิ่มเติมจากวอชิงตันและบรัสเซลส์อย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ Mr. Petr Barton หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของบริษัทการเงิน Natland Investment Group กล่าวเสริมว่าภาษีศุลกากรของทรัมป์อาจส่งผลให้ต้นทุนด้านพลังงานในยุโรปรวมถึงสาธารณรัฐเช็กสูงขึ้นโดยอ้อม ซึ่งเป็นการกดดันให้สหภาพยุโรปซื้อน้ำมันและก๊าซของสหรัฐฯ มากขึ้น ซึ่งมาจากแคนาดาทำให้ราคาเพิ่มขึ้น ประกอบกับภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ อาจส่งผลให้สินค้าจีนเพิ่มการส่งออกมายังยุโรป ทำให้การแข่งขันระหว่างธุรกิจของสาธารณรัฐเช็กทวีความรุนแรงมากขึ้น แม้ว่าผู้บริโภคอาจได้รับประโยชน์จากราคาที่ลดลง แต่ผู้ผลิตสิ่งทอและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในประเทศเป็นกลุ่มที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุดในการรักษาราคาที่สามารถแข่งขันได้ ทั้งในประเทศเองและในตลาดสหรัฐฯ ซึ่งอาจนำไปสู่การลดค่าจ้างหรือการปิดกิจการได้

 

หากสหภาพยุโรปตอบโต้ภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ด้วยมาตรการการค้าของตนเอง ราคาผลิตภัณฑ์บางรายการของสหรัฐฯ ในสาธารณรัฐเช็กอาจเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสินค้าในชีวิตประจำวัน เช่น แล็ปท็อป สมาร์ทโฟน คอนโซลเกม และแม้แต่สินค้าประเภทอาหาร เช่น เนื้อวัว เนยถั่ว และวิสกี้ รวมถึงรถยนต์อเมริกันยังอาจมีราคาแพงขึ้นเนื่องจากต้นทุนการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น จะเห็นได้ว่าสงครามการค้ามักทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัว ทำลายห่วงโซ่อุปทาน และราคาสินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ หากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวเนื่องจากข้อพิพาททางการค้าที่ยังคงดำเนินอยู่ ความต้องการสินค้าส่งออกของสาธารณรัฐเช็กอาจลดลง ส่งผลให้การลงทุนชะลอตัวและการเติบโตทางเศรษฐกิจลดลง

 

ข้อคิดเห็น/เสนอแนะของ สคต.

จากรายงานดังกล่าวสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของยุโรป รวมถึงสาธารณรัฐเช็ก ยังมีความไม่แน่นอนจากหลายปัจจัยทั้งนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ การกีดกันการค้าที่อาจจะรุนแรงขึ้น ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และการเมืองในบางประเทศโดยเฉพาะเยอรมนี ฝรั่งเศส อาจเป็นความเสี่ยงสำคัญที่จะทำให้แนวทางการรับมือของภาครัฐ ขาดประสิทธิภาพ ประกอบกับเยอรมนีและฝรั่งเศสเป็นหนึ่งในคู่ค้าที่สำคัญของเช็ก จึงอาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเช็กในอนาคต เป็นต้น ดังนั้นผู้ประกอบการไทยควรติดตามความเคลื่อนไหวด้านการค้าระหว่างประเทศอย่างใกล้ชิดเพื่อสามารถปรับตัวได้ทันตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงในอนาคต ทั้งนี้ ปี 2567 สาธารณรัฐเช็ก นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ คิดเป็นมูลค่า 232,394 ล้านเหรียญสหรัฐ จากประเทศเยอรมนี จีน โปแลนด์ สโลวาเกีย เนเธอร์แลนด์ อิตาลี ออสเตรเลีย ฮังการี ฝรั่งเศส และเบลเยียม ตามลำดับ โดยนำเข้าจากประเทศไทย คิดเป็นมูลค่า 1,036.86 ล้านเหรียญสหรัฐ

thThai