เนื้อหาสาระข่าว: ประธานาธิบดีทรัมป์ได้เรียกเก็บภาษีศุลกากรใหม่ต่อสามประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของอเมริกาเมื่อวันอังคาร โดยกำหนดอัตราภาษีร้อยละ 25 สำหรับสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดา และกำหนดอัตราภาษีเพิ่มเติมร้อยละ 10 สำหรับสินค้านำเข้าจากจีน ทรัมป์ย้ำถึงความมุ่งมั่นของเขาต่อมาตรการภาษีในคำปราศรัยต่อสภาคองเกรสเมื่อคืนที่ผ่านมาว่า “ภาษีศุลกากรคือสิ่งที่ทำให้อเมริการ่ำรวยอีกครั้ง และทำให้อเมริกายิ่งใหญ่อีกครั้ง และมันกำลังเกิดขึ้น และมันจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจมีความปั่นป่วนเล็กน้อย แต่เรารับมือได้ มันจะไม่มากนัก”
อย่างไรก็ตาม สมาชิกคณะรัฐมนตรีคนหนึ่งได้แสดงความคิดเห็นว่ามาตรการภาษีอาจถูกปรับลดลง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ฮาวเวิร์ด ลัทนิค—ซึ่งก่อนหน้านี้เคยเป็นนักลงทุนในแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเครื่องประดับ Ritani—ให้สัมภาษณ์กับ Fox Business ว่าทรัมป์ “อาจจะ” ประกาศข้อตกลงประนีประนอมเกี่ยวกับภาษี บางทีอาจจะเป็นภายในวันนี้ก็ได้ ความคิดเห็นของลัทนิคเกิดขึ้นหลังจากตลาดหุ้นลดลงติดต่อกันเป็นเวลาสองวัน ซึ่งนักวิเคราะห์ระบุว่าสาเหตุมาจากความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า
ตัวแทนจากอุตสาหกรรมเครื่องประดับและผู้ผลิตให้สัมภาษณ์กับ JCK ว่าพวกเขากำลังติดตามสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิด เดวิด โบนาพาร์ต ประธานและซีอีโอของ Jewelers of America กล่าวว่า “เรากังวลเกี่ยวกับมาตรการภาษีในวงกว้างเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับสินค้าส่งออกจากจีน สิ่งสุดท้ายที่เราต้องการคือให้ผู้บริโภคต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อซื้อเครื่องประดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อภาวะเงินเฟ้อยังคงสูงอยู่ มีผู้ผลิตหลายรายติดต่อเรามาแล้ว แจ้งว่าต้นทุนของพวกเขาเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 แต่สิ่งต่างๆ เหล่านี้มีอีกมากที่อยู่เหนือการควบคุมของเรา หวังว่าทุกฝ่ายจะหาทางออกได้อย่างรวดเร็วและดำเนินการอย่างสมเหตุสมผล”โบนาพาร์ตกล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับอุตสาหกรรมเครื่องประดับ “หากมีการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากอินเดีย นั่นจะเป็นเรื่องที่ใหญ่มากกว่า”
เดวิด ค็อชแรน ประธานและซีอีโอของ MJSA (Manufacturing Jewelers and Suppliers of America) เชื่อว่าภาษีศุลกากรจะส่งผลกระทบทันทีต่อบริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้านแฟชั่นและมีการผลิตในจีน “อย่างไรก็ตาม เราเห็นว่ามีธุรกิจจำนวนมากขึ้นที่กำลังพิจารณาย้ายการดำเนินงานกลับมายังสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ปัญหาห่วงโซ่อุปทานที่เกิดขึ้นจากโควิด และมาตรการภาษีนี้อาจเร่งให้กระบวนการนี้เกิดเร็วขึ้น ในด้านอุปทาน เรากำลังพิจารณาว่าการไหลเวียนของเพชรจากแคนาดาจะได้รับผลกระทบอย่างไร อุตสาหกรรมเพชรธรรมชาติกำลังเผชิญกับอัตรากำไรที่ลดลง และการขยายตัวของเพชรสังเคราะห์ก็จะเพิ่มแรงกดดันยิ่งขึ้นอีก”
เดฟ เมเลสกี ประธานและซีอีโอของผู้ผลิตเครื่องประดับ Richline กล่าวว่า “ผมไม่เห็นว่าภาษีนำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาจะส่งผลกระทบมากนัก หรืออาจจะไม่มีเลย เนื่องจากแทบจะไม่มีการผลิตสินค้าในสหรัฐฯ เพื่อจำหน่ายในประเทศเหล่านี้ หรือในทางกลับกันด้วย แต่สำหรับจีน มีผลกระทบบ้าง เนื่องจากมีสินค้าบางส่วนที่ผลิตในจีนเพื่อนำเข้าไปยังสหรัฐฯ สำหรับ Richline ผลกระทบนี้ทำให้เราต้องหาทางปรับเปลี่ยนแหล่งผลิตจากโรงงานของเราที่จีนไปยังประเทศอื่น ๆ ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามภาษีนี้” เมเลสกีกล่าวว่าเขากังวลมากกว่าเกี่ยวกับ “ความผันผวนรายวันของตลาดจากสถานการณ์นี้และผลกระทบต่อราคาตลาดโลหะ ผมต้องการให้ตลาดมีเสถียรภาพมากกว่านี้ เพราะราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ทำให้ยอดขายในกลุ่มผู้บริโภคลดลง”
ผู้ผลิตเครื่องประดับรายหนึ่งที่ไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนกล่าวกับ JCK ว่า “ทั้งหมดนี้ค่อนข้างน่าวิตก ผู้นำเข้าจากจีนต้องตัดสินใจว่าพวกเขาจะต้องผลักภาระภาษีร้อยละ 10 ที่เพิ่มขึ้นนี้ไปมากน้อยเพียงใด หากคุณนำเข้าจากแคนาดาหรือเม็กซิโก คุณอาจไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเพิ่มต้นทุนเข้าไป มันจะทำให้เครื่องประดับแพงขึ้นอย่างแน่นอน มันชักจะวุ่นวายกันไปใหญ่แล้ว”
สหพันธ์การค้าปลีกแห่งชาติ (National Retail Federation – NRF) ซึ่งเป็นผู้คัดค้านมาตรการภาษีมาโดยตลอด เตือนว่ามาตรการนี้อาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มทางเศรษฐกิจ “ภาษีศุลกากรอาจเป็นอุปสรรคต่อเศรษฐกิจและสร้างผลกระทบด้านลบ แม้ว่าข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดจะยังคงแข็งแกร่ง แต่เรากังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านลบ” แจ็ค ไคลน์เฮนซ์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ NRF กล่าว
แคนาดา จีน และเม็กซิโก ได้ประกาศมาตรการภาษีตอบโต้ต่อสหรัฐฯ รายการสินค้าของแคนาดาที่จะถูกเก็บภาษีศุลกากรร้อยละ 25 ขณะนี้รวมถึงเครื่องประดับในหลายหมวดหมู่ (ดูรหัส 7113.11 ถึง 7117.90) “ภาษีเหล่านี้ใช้กับสินค้าที่มีแหล่งกำเนิดจากสหรัฐฯ เท่านั้น” แถลงการณ์ของรัฐบาลแคนาดาระบุ “มาตรการตอบโต้นี้มีผลบังคับใช้ทันที และจะยังคงมีผลจนกว่าสหรัฐฯ จะยกเลิกภาษีศุลกากรที่กำหนดต่อแคนาดา”
ตามข้อมูลของเว็บไซต์ข่าวธุรกิจและการเงินที่ชื่อว่า Sherwood นั้น แคนาดานำเข้าเครื่องประดับจากสหรัฐฯ เป็นมูลค่า 328.2 ล้านดอลลาร์ในปี 2023 ซาร่า ยูด ประธานและซีอีโอของ Jewelers Vigilance Committee กล่าวว่า “ภาคธุรกิจควรตระหนักว่าการส่งออกสินค้าจากสหรัฐฯ ไปยังแคนาดาอาจต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม สถานการณ์นี้มีแนวโน้มที่จะทวีความรุนแรงขึ้น เนื่องจากรัฐบาลทรัมป์ได้แสดงท่าทีชัดเจนว่าภาษีและการค้าจะเป็นประเด็นหลัก เราขอสนับสนุนให้ผู้นำธุรกิจพูดคุยกับตัวแทนในรัฐสภาเพื่อสะท้อนผลกระทบทางธุรกิจจากมาตรการภาษีเหล่านี้”
นายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด ของแคนาดา เรียกภาษีศุลกากรของทรัมป์ว่าเป็น “เรื่องที่โง่มาก” ในขณะที่ประกาศมาตรการภาษีตอบโต้ ทรูโดกล่าวว่า “เราจะไม่ยอมถอยจากการต่อสู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประเทศของเราและความเป็นอยู่ของประชาชนทั้งหมดตกอยู่ในความเสี่ยง”
สถานเอกอัครราชทูตจีนในสหรัฐฯ โพสต์ข้อความบน X ว่า “หากสหรัฐฯ ต้องการสงคราม ไม่ว่าจะเป็นสงครามภาษี สงครามการค้า หรือสงครามในรูปแบบใดก็ตาม เราพร้อมสู้จนถึงที่สุด”
บทวิเคราะห์: แคนาดาได้ตอบโต้สหรัฐฯ ด้วยอัตราภาษีศุลกากรร้อยละ 25 โดยมีสินค้าเป้าหมายที่เน้นกลุ่มฐานเสียงของประธานาธิบดีทรัมป์เป็นหลัก โดยรายการสินค้าที่จะได้รับผลกระทบจากอัตราภาษีที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวมีมูลค่ารวมกว่า 32 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (Sherwood News ได้รวบรวมรายการสินค้าทั้งหมดพร้อมมูลค่าสินค้าที่สหรัฐฯ ส่งออกไปแคนาดามานำเสนอ โดยแบ่งตามรหัสสินค้า 6 หลักไว้แล้วรวม 41 หน้าตามลิ้งก์นี้ https://sherwood.news/power/list-of-us-goods-canadas-tariffs-will-hit/ )
เมื่อพิจารณาเฉพาะหมวดสินค้ารหัส 71 ซึ่งรวมถึง “ไข่มุกธรรมชาติหรือไข่มุกเลี้ยง, หินมีค่าหรือกึ่งมีค่า, โลหะมีค่า; โลหะที่เคลือบด้วยโลหะมีค่า, ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากโลหะมีค่า; เครื่องประดับเทียม; เหรียญกษาปณ์” เป็นที่ทราบกันดีว่า ภาคธุรกิจนี้ก็ต้องแบกภาระที่หนักอึ้งจากราคาทองคำที่กำลังพุ่งสูงขึ้นอย่างแรงอยู่แล้วด้วยมูลค่าทองคำที่พุ่งสูงถึง กว่า 2,900 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ สูงที่สุดนับตั้งแต่ที่เคยมีการบันทึกระดับราคาทองคำกันมา
หันมาพิจารณามูลค่าการค้าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับระหว่างทั้ง 2 ประเทศนั้น มีมูลค่ารวมสูงถึง 1.08 แสนล้านเหรียญสหรัฐ แคนาดานำเข้าสินค้าในหมวดนี้จากสหรัฐฯ มูลค่า 19.17 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่สหรัฐฯ นำเข้าสินค้าในหมวดนี้จากแคนาดามากถึง 89.12 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หากจะต้องมาแบกรับแรงกดดันจากภาษีศุลกากรที่สูงถึงร้อยละ 25 นี้ ก็แน่นอนว่ามูลค่าการซื้อขายจะต้องตกวูบ โดยเฉพาะสินค้าประเภทนี้จัดว่าเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยที่มีความอ่อนไหวต่อราคาที่เปลี่ยนแปลงมากพอสมควร นับเป็นวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ของคู่ค้าในธุรกิจนี้ใน 2 ประเทศนี้
สำหรับประเทศไทยในฐานะแหล่งส่งออกสินค้าประเภทนี้รายสำคัญรายหนึ่ง ในปี 2024 แคนาดานำเข้าสินค้าในหมวดนี้จากไทยมูลค่าเกือบ 2 ร้อยล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่ สหรัฐฯ นั้นนำเข้าสินค้าหมวดนี้จากไทยมากถึง เกือบ 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตราบเท่าที่การเรียกเก็บภาษีร้อยละ 25 ยังคงจำกัดอยู่ที่แคนาดาและเม็กซิโก และร้อยละ 10 สำหรับจีน ช่วงเวลานี้ก็อาจเป็นโอกาสที่สำคัญสำหรับแหล่งผลิตสินค้าในหมวดนี้ในการขยายตัว
ข้อคิดเห็น/ข้อเสนอแนะ: โดยหลักทางเศรษฐศาสตร์ มีวิธีการคำนวณคร่าวๆ ได้ว่าอัตราภาษีที่สูงขึ้นร้อยละ 25 นี้จะกดดันให้มูลค่าการซื้อขายสินค้าในหมวดนี้ลดลงเท่าไร โดยใช้หลักความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคา (Price Elasticity of Demand – PED) โดยจะต้องมีการศึกษาและเก็บข้อมูลเชิงสถิติเพื่อคำนวณหาอัตราความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคาที่แม่นยำเพื่อนำมาใช้คำนวณเพื่อประเมินว่ามูลค่าการค้าระหว่างทั้ง 2 ประเทศในหมวดนี้จะลดฮวบลงมามากน้อยเพียงใด เชื่อว่านักวิชาการในวงการธุรกิจที่เกี่ยวข้อง น่าจะมีตัวเลขสถิติจากการเปลี่ยนแปลงของราคาเทียบกับมูลค่าการซื้อขายมากพอจะนำมาใช้ประเมินได้กันอยู่บ้างแล้ว ราคาทองคำที่สูงขึ้นอาจส่งผลให้ความนิยมในการใช้ทองคำมาผลิตเป็นเครื่องประดับลดลง หันไปหาวัสดุอื่นๆ ทดแทนกันบ้างไม่มากก็น้อย ในขณะที่มูลค่าการซื้อขายทองคำในตลาด ซึ่งก็ถูกจัดให้อยู่ในหมวดสินค้าเดียวกันนี้ จะต้องจำแนกลึกลงไปในรายละเอียดว่าเป็นทองแท่ง หรือทองรูปพรรณด้วยจึงจะประเมินให้เห็นได้ชัดเจน รายละเอียดที่เจาะลงไปลึกกว่านี้ ขอเก็บเอาไว้ให้นักวิชาการในวงการช่วยกันวิเคราะห์เจาะลึกกันต่อไปดีกว่า ในบทความนี้จะไม่ขอลงไปลึกซึ้งกว่านี้
แต่ประเด็นที่หยิบยกมานี้จะขอเน้นเพียงประเด็นที่โอกาสเปิดออกมาแล้ว วันข้างหน้ารัฐบาลของประธานาธิบดีทรัมป์ จะเผื่อแผ่แจกอัตราภาษีศุลกากรเป็นวงกว้างเพียงใด ครอบคลุมไปถึงประเทศใดบ้างและเมื่อใดบ้างนั้น คงยังไม่มีใครสามารถคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำได้แน่ เท่าที่เห็นแบบเร็วๆ ก็คือ มีตลาดใหญ่ขนาด 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ใน 2 ประเทศนี้ที่น่าจะต้องหาสินค้าจากแหล่งผลิตอื่นมาทดแทนไม่มากก็น้อย หวังว่างาน Bangkok Gems & Jewelry Fair ที่เพิ่งจะเสร็จสิ้นลงไปในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาจะมีส่วนช่วยเชื่อมโยงให้ผู้ผลิตสินค้าในหมวดนี้ของไทยเข้าถึงผู้ซื้อจาก 2 ประเทศนี้ที่กำลังต้องขวนขวายหาแหล่งทดแทนได้ในช่วงเวลาที่เหมาะสม หากจะเร่งให้เห็นผลโดยเร็ว ก็ขอให้มุ่งมั่นติดตามผลหลังการเจรจากับผู้ซื้อใน 2 ประเทศนี้อย่างใกล้ชิดขึ้น เชื่อว่าน่าจะได้รับคำตอบการสั่งซื้อเพิ่มขึ้นแน่นอน
สำหรับผู้ส่งออกที่เน้นตลาดแคนาดาก็คงเบาใจได้ว่าจะไม่มีการขึ้นภาษีปุบปับแบบสหรัฐฯ แต่รายที่เน้นตลาดสหรัฐฯ ก็พึงต้องระมัดระวัง การเจรจาซื้อขายก็ควรเผื่อเหลือเผื่อขาดวางแผนรับมือไว้ล่วงหน้าสำหรับโอกาสที่วันส่งสินค้าอาจมีการเรียกเก็บภาษีมหาโหดครอบคลุมประเทศอื่นๆ กว้างขึ้นอีกเอาไว้ด้วย
*********************************************************
ที่มา: JCK Online เรื่อง: “Jewelry Industry Braces for Impact of Trump’s Trade War” โดย: Rob Bates สคต. ไมอามี /วันที่ 5 มีนาคม 2568