รัฐบาลกลางอินเดียกำลังผลักดันให้รัฐต่างๆ ดำเนินการปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจอย่างจริงจัง เพื่อดึงดูดการลงทุนจากภาคเอกชน และเสริมสร้างบทบาทของอินเดียในฐานะศูนย์กลางการผลิตระดับโลก ตลอดจนเพิ่มความสำคัญของประเทศในห่วงโซ่อุปทานระหว่างประเทศ แนวทางดังกล่าวมุ่งเน้นไปที่อุตสาหกรรมการผลิตขั้นสูง โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีเทคโนโลยีล้ำหน้า อาทิ แผงเซลล์แสงอาทิตย์ กังหันลม เครื่องผลิตไฮโดรเจนอิเล็กโทรไลเซอร์ ระบบกักเก็บพลังงานลิเธียมไอออน และเวเฟอร์เซมิคอนดักเตอร์
นอกจากนี้ ระบบเศรษฐกิจในภาคสตาร์ทอัพยังได้รับการสนับสนุนอย่างเข้มข้น ส่งผลให้มีการไหลเข้าของเงินลงทุนอย่างต่อเนื่องจากทั้งนักลงทุนต่างชาติและภาคธุรกิจภายในประเทศ ในขณะเดียวกัน บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีระดับโลกและกลุ่มบริษัทชั้นนำในประเทศต่างให้ความสนใจลงทุนในอินเดียมากขึ้น ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพทางเศรษฐกิจและความพร้อมของประเทศในการเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมและเทคโนโลยีแห่งอนาคต
ในช่วงสองเดือนแรกของปี 2025 อินเดียได้จัดการประชุมสุดยอดด้านการลงทุน ใน 6 รัฐสำคัญ ได้แก่ มัธยประเทศ โอริสสา กรณาฏกะ เบงกอลตะวันตก เกรละ และอัสสัม ซึ่งส่งผลให้มีข้อเสนอการลงทุนรวมมูลค่าสูงถึง 6.05 ล้านล้านรูปี นอกจากนี้ ในเดือนกุมภาพันธ์ รัฐอุตตรประเทศ ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างมาก โดยมีการลงนามข้อตกลงด้านการลงทุนมูลค่าประมาณ 33.5 ล้านล้านรูปี ซึ่งคิดเป็น 1.6 เท่า ของขนาดเศรษฐกิจของรัฐ แนวโน้มดังกล่าวสอดคล้องกับเป้าหมายของประเทศในการสร้างเศรษฐกิจที่มีจะมีมูลค่า 30-35 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปีพ.ศ. 2590 (ค.ศ. 2047) ซึ่งเป็นปีที่อินเดียจะเฉลิมฉลองการครบรอบ 100 ปีแห่งเอกราช
ในการประชุม Global Investors Summit ของ รัฐมัธยประเทศ ซึ่งเพิ่งสิ้นสุดลง รัฐได้รับ พันธสัญญาผูกพันด้านการค้าและการลงทุนมูลค่ารวม 2.661 ล้านล้านรูปี ผ่านข้อตกลงเบื้องต้นที่คาดว่าจะสามารถสร้าง ตำแหน่งงานกว่า 1.73 ล้านตำแหน่ง ในส่วนของการลงทุนรายใหญ่ NTPC ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานที่ดำเนินการโดยรัฐ ได้ให้คำมั่นว่าจะลงทุน 200,000 ล้านรูปี ในโครงการพลังงานหมุนเวียนภายในรัฐ ขณะที่ Adani Group ได้แสดงความมุ่งมั่นในการลงทุน 1.1 ล้านล้านรูปี ในหลากหลายภาคอุตสาหกรรม
สำหรับ รัฐโอริสสา (Odisha) ได้รับข้อผูกพันด้านการลงทุนมูลค่ารวม 1.289 ล้านล้านรูปี ซึ่งสูงกว่าการประมาณการเบื้องต้นที่ 500,000 ล้านรูปี อย่างมีนัยสำคัญ นอกเหนือจากอุตสาหกรรมเหมืองแร่แบบดั้งเดิมแล้ว รัฐยังได้ลงนามในข้อตกลงด้าน พลังงานหมุนเวียน, เทคโนโลยีสารสนเทศ (IT/ITES), และการแปรรูปอาหาร เพื่อกระจายโครงสร้างเศรษฐกิจและขยายโอกาสทางการลงทุนในภาคส่วนที่มีศักยภาพสูง
รัฐเบงกอลตะวันตกได้รับข้อเสนอการลงทุนรวมมูลค่าสูงถึง 4.4 แสนล้านรูปี ในระหว่าง การประชุมสุดยอดธุรกิจระดับโลกเบงกอล (Bengal Global Business Summit – BBS) ครั้งที่ 8 ซึ่งจัดขึ้นเป็นระยะเวลา สองวัน โดยมี นักลงทุนและผู้แทนจากภาคธุรกิจมากกว่า 5,000 ราย เข้าร่วมงาน ความร่วมมือทางธุรกิจดังกล่าวนำไปสู่การลงนามใน บันทึกความเข้าใจ (MoU) จำนวน 212 ฉบับ รวมถึงหนังสือแสดงเจตจำนงที่ครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรม
สำหรับ รัฐกรณาฏกะ การประชุมสุดยอดด้านการลงทุนที่จัดขึ้นเมื่อต้นเดือนนี้ ได้รับข้อผูกพันด้านการค้าและการลงทุนรวมมูลค่ากว่า 10.27 แสนล้านรูปี โดยคาดการณ์ว่าการลงทุนดังกล่าวจะสามารถสร้างตำแหน่งงานได้ประมาณ 600,000 อัตรา ข้อตกลงการลงทุนในครั้งนี้ครอบคลุมอุตสาหกรรมที่หลากหลาย ตั้งแต่ โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ คลังแบตเตอรี่ โรงงานผลิตเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากังหันลม ไปจนถึง อุตสาหกรรมซีเมนต์ เหล็ก และธุรกิจในเครือ
ในขณะเดียวกัน รัฐเกรละ ได้รับข้อเสนอการลงทุนมูลค่ารวม 1.53 แสนล้านรูปี จากภาคธุรกิจที่หลากหลาย ภายในงาน Invest Kerala Global Summit (IKGS 2025) ซึ่งจัดขึ้นเป็นระยะเวลา สองวัน การตอบรับอย่างท่วมท้นจากนักลงทุนสะท้อนถึง ความเชื่อมั่นในศักยภาพของรัฐ โดยพิจารณาจากโครงสร้างอุตสาหกรรมที่มีความก้าวหน้า โครงสร้างพื้นฐานเชิงยุทธศาสตร์ และนโยบายที่เอื้อต่อการลงทุน แนวโน้มการลงทุนดังกล่าวตอกย้ำ ความมุ่งมั่นของอินเดียในการส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน และเสริมสร้างบทบาทของประเทศในฐานะ ศูนย์กลางอุตสาหกรรมและการผลิตระดับโลก
หัวหน้าคณะรัฐมนตรีอัสสัม Himanta Biswa Sarma ประกาศการประชุมสุดยอด Advantage Assam 2.0 Investment and Infrastructure Summit 2025 ระยะเวลาสองวันในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ด้วยข้อเสนอด้านการลงทุนและโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 4.91 แสนล้านรูปีในหลายภาคส่วน และในการประชุม Act East, Act Fast และ Act First นาย S. Jaishankar รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศได้เน้นย้ำความสำคัญของทางหลวงไตรภาคีอินเดีย-เมียนมาร์-ไทย ที่จะเป็นตัวเปลี่ยนเกมสำหรับสำหรับการเชื่อมต่อและความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจระหว่างภาคตะวันออกของอินเดียและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างไรก็ตาม ความคืบหน้าของโครงการดังกล่าวกำลังเผชิญกับความท้าทายจาก ความขัดแย้งภายในในเมียนมาร์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อกำหนดการดำเนินงาน อย่างไรก็ตาม นาย Jaishankar ได้เน้นย้ำว่าความขัดแย้งเหล่านี้ไม่ควรเป็นอุปสรรคต่อโครงการที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ อินเดียต้อง แสวงหาแนวทางแก้ไขที่เป็นประโยชน์ เพื่อให้แน่ใจว่า โครงการทางหลวงไตรภาคีจะสามารถดำเนินต่อไปได้
นอกจากนี้ ในการประชุมประจำปีของ World Economic Forum (WEF) ที่เมือง ดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา รัฐมหาราษฏระ ได้ลงนามใน ข้อเสนอการลงทุนมูลค่ารวม 15.7 แสนล้านรูปี ขณะที่ รัฐเตลังคานา ซึ่งเป็นหนึ่งในรัฐเศรษฐกิจสำคัญทางตอนใต้ของอินเดีย ได้ลงนาม ข้อตกลงการลงทุนมูลค่า 1.78 แสนล้านรูปี
การประชุมสุดยอดด้านการลงทุนเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของแต่ละรัฐในการ ส่งเสริมสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เอื้อต่อการลงทุน โดยรัฐบาลของรัฐต่างๆ ได้ให้คำมั่นที่จะ ปรับปรุงการเข้าถึงตลาด ลดขั้นตอนการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่ซับซ้อน ปฏิรูปกฎหมายที่ดิน และปรับปรุงมาตรฐานด้านการก่อสร้างและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน นอกจากนี้ ยังมีการเน้นย้ำถึง การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน ไฟฟ้า กฎหมาย และความสงบเรียบร้อย เพื่อยกระดับคุณภาพการกำกับดูแล ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการ ดึงดูดนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
แนวโน้มการลงทุนที่เพิ่มขึ้นในรัฐต่างๆ ของอินเดียทำให้เกิดการแข่งขันโดยตรงระหว่างรัฐ เพื่อดึงดูด เม็ดเงินลงทุนจากบริษัทข้ามชาติและภาคเอกชนในประเทศ ซึ่งครอบคลุมภาคอุตสาหกรรมที่หลากหลาย รวมถึง การผลิตขั้นสูง เทคโนโลยีดิจิทัล พลังงานสะอาด และโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะ การดำเนินมาตรการปฏิรูปเศรษฐกิจและการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อินเดียสามารถ เสริมสร้างศักยภาพทางเศรษฐกิจ และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันบนเวทีการลงทุนระดับโลก
นาย V Anantha Nageswaran หัวหน้าที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจกล่าวว่าอัตราการสะสมทุนถาวรขั้นต้น (Gross Fixed Capital Formation – GFCF) ของอินเดียจะต้องเพิ่มขึ้นจาก 30.8% ในปัจจุบันไปเป็นระดับ 34%-35% เพื่อช่วยให้อินเดียเติบโตในอัตราที่ยั่งยืนเมื่อโลกกำลังเผชิญกับความยากลำบากอย่างยิ่ง
ข้อมูลเพิ่มเติม/ข้อเสนอแนะ
การเติบโตของอินเดียในปี 2567 ที่ผ่านมา อินเดีย สามารถเติบโตได้ถึง 6.5% ซึ่งสูงกว่าหลายๆประเทศทำให้ถนนทางเศรษฐกิจทุกสายกำลังมุ่งหน้าสู่อินเดีย เนื่องจากอินเดียเติบโตอย่างรวดเร็ว จากการเน้นพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลอินเดีย ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา อินเดียได้ลงทุนมากกว่า 100 ล้านล้านรูปีในโครงการโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงการก่อสร้าง ถนนความยาวกว่า 50,000 กิโลเมตร การขยายเครือข่าย สนามบินกว่า 20 แห่ง และการพัฒนา เส้นทางรถไฟความเร็วสูงที่สำคัญ และผลลัพธ์สำคัญ ที่ตามมาจากการมีโครงสร้างพื้นฐานที่พัฒนาขึ้น ก็คือการลงทุนของภาคเอกชน ที่มากขึ้นตาม เพราะโครงสร้างพื้นฐานที่ดีขึ้น ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและขนส่งสินค้าให้กับธุรกิจต่าง ๆ ซึ่งช่วยขยายขีดความสามารถในการแข่งขันและเพิ่มศักยภาพในการเติบโตของอินเดีย
นอกจากนี้ การเติบโตของการลงทุนภาครัฐและภาคเอกชนยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของอินเดียในปีที่ผ่านมา ขยายตัวถึง 7.2% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายการเงินที่คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ตลอดจนค่าเงินที่มีเสถียรภาพ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI)
ปัจจุบัน อินเดียได้รับความสนใจจากนักลงทุนระหว่างประเทศเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีศักยภาพในการเป็นฐานการผลิตระดับโลก ทั้งนี้ หลายบริษัทข้ามชาติได้ใช้กลยุทธ์ “China+1” ในการกระจายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นเพื่อลดความเสี่ยงจากข้อจำกัดทางการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งอินเดียเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ได้รับความสนใจ เนื่องจากมีตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่ แรงงานจำนวนมาก และต้นทุนค่าแรงที่ยังคงอยู่ในระดับที่แข่งขันได้ ปัจจัยเหล่านี้ช่วยสนับสนุนให้ต้นทุนการผลิตของภาคอุตสาหกรรมสามารถควบคุมได้ดีขึ้น
การเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดียยังส่งผลให้รายได้เฉลี่ยต่อหัวของประชากรเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลต่อกำลังซื้อในประเทศ ข้อมูลจาก World Bank ระหว่างปีปี 2557-2565 ชี้ให้เห็นว่ารายได้เฉลี่ยต่อหัวประชากรอินเดียปรับตัวสูงขึ้นถึง 120% โดยกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาดการณ์ว่าอินเดียจะกลายเป็นตลาดผู้บริโภคที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก ภายในปี 2570 และภายในปี 2573 ครัวเรือนอินเดียเกือบครึ่งหนึ่งจะอยู่ในกลุ่มที่มีรายได้สูงหรือปานกลางระดับบน
การตั้งเป้าการลดการขาดดุลการค้าจาก 4.8% ให้เหลือ 4.4% การกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศผ่านการปรับโครงสร้างอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ยิ่งทำให้อินเดียยิ่งน่าสนใจมากขึ้นผ่านกำลังการซื้อที่จะเพิ่มมากขึ้น เมื่อนำมาประกอบกับการที่อินเดีย เป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก และอายุเฉลี่ยยังน้อยรวมถึงการที่อินเดียเป็นประเทศใหญ่ ทำให้มีอำนาจต่อรองกับหลายประเทศ แม้แต่กับสหรัฐฯ หรือจีน ด้วยปัจจัยดังกล่าว อินเดียจึงเป็นตลาดที่มีศักยภาพสำหรับนักลงทุนและภาคธุรกิจระหว่างประเทศ อีกทั้งยังมีบทบาทสำคัญในภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลก ซึ่งอาจส่งผลต่อแนวโน้มของการค้าและการลงทุนในอนาคต
ผู้ประกอบการไทยสามารถใช้โอกาสจากการขยายตัวของการลงทุนในอินเดียเพื่อขยายธุรกิจและสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจ อินเดียกำลังมุ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและภาคอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น พลังงานสะอาด เทคโนโลยีสารสนเทศ และการแปรรูปอาหาร ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีสำหรับธุรกิจไทยที่มีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมเหล่านี้ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอาหารและเกษตรแปรรูปที่สามารถใช้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-อินเดีย เป็นกลไกสนับสนุนให้สินค้าจากไทยเข้าถึงตลาดอินเดียได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ การเติบโตของชนชั้นกลางและกำลังซื้อของประชากรอินเดียที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดโอกาสใหม่สำหรับสินค้าและบริการจากไทยที่ตอบสนองต่อแนวโน้มการบริโภคของตลาดอินเดีย รวมทั้งการลงทุนที่เพิ่มขึ้นในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ทางหลวง ท่าเรือ และระบบราง จะช่วยเสริมศักยภาพด้านโลจิสติกส์ ทำให้การขนส่งสินค้าและวัตถุดิบระหว่างไทยและอินเดียมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดต้นทุนการดำเนินธุรกิจและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของบริษัทไทย
แหล่งข้อมูล
Financial Express: https://www.financialexpress.com/business/industry-summit-season-sees-nearly-rs-100l-crore-investment-pledges-by-india-inc-3761527/
HindustanTimes: https://www.hindustantimes.com/india-news/bengal-receives-rs-4-4-lakh-crore-investment-proposals-at-business-summit-wb-cm-101738847658820.html
Business Standards: Kerala attracts proposals worth Rs 1.53 trn from firms in investors’ summit | India News – Business Standard
Credit picture by https://www.indiatoday.in/business/story/bengal-investor-s-summit-concludes-mous-investment-1940387-2022-04-21