รัฐบาลลาวมุ่งขยายตลาดมันสำปะหลังให้กว้างขึ้น

รัฐบาลสปป.ลาว มีแผนที่จะขยายผลผลิตพืช ปรับปรุงโรงงานแปรรูป และขยายตลาดส่งออก โดยมุ่งหวังที่จะเป็นผู้เล่นหลักในธุรกิจมันสำปะหลังระดับโลก โดยเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2568 นายสะเหลิมไซ กมมะสิด รองนายกรัฐมนตรีแห่งสปป.ลาว ได้กล่าวในการสัมมนาระดับสูงที่จัดขึ้นในเมืองปากเซ แขวงจำปาสัก ในฐานะประธานคณะกรรมการอำนวยความสะดวกทางการค้าและการขนส่งแห่งชาติกล่าวต่อผู้นำรัฐบาล ตัวแทนภาคอุตสาหกรรม และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆ โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน แรงจูงใจด้านการลงทุน และการอำนวยความสะดวกทางการค้า ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพทั้งหมดของภาคส่วนนี้ ซึ่งการสัมมนาครั้งนี้จัดขึ้นโดยความร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและป่าไม้ และกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า โดยได้รวบรวมรัฐมนตรีสำคัญ เจ้าแขวง และตัวแทนภาคอุตสาหกรรม ซึ่งทุกคนมุ่งมั่นที่จะกำหนดอนาคตของอุตสาหกรรมมันสำปะหลังของลาว

โดยนายลินคำ ดวงสะหวัน รัฐมนตรีกระทรวงกสิกรรมและป่าไม้ สปป. ลาว กล่าวในการประชุมว่า มีเกษตรกรชาวลาวจำนวนมากขึ้นหันมาปลูกมันสำปะหลังเนื่องจากผลผลิตที่สูงขึ้นและความต้องการของตลาดที่แข็งแกร่ง เมื่อปีที่แล้ว พืชผลดังกล่าวปลูกบนพื้นที่กว่า 295,000 เฮกตาร์ โดยผลิตมันสำปะหลังได้มากถึง 7.4 ล้านตัน แหล่งผลิตหลัก ได้แก่ ไซยะบุรี สาละวัน เซกอง จำปาสัก บอลิคำไซ และเวียงจันทน์ ปัจจุบันลาวมีโรงงานแปรรูปมันสำปะหลัง 22 แห่งที่ผลิตมันสำปะหลัง โดยมีกำลังการผลิต 1 ล้านตันต่อปี แต่โรงงานต้องการมันสำปะหลังดิบ 3.7 ล้านตันต่อปีเพื่อตอบสนองความต้องการ การส่งออกมันสำปะหลังกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีการส่งออก 2.4 ล้านตัน ในปี 2567 สร้างรายได้กว่า 440 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตามตัวเลขล่าสุดของกระทรวงกสิกรรมและป่าไม้ นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรีสะเหลิมไซ ได้ขอให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมุ่งเน้นไปที่การแปรรูปที่มีมูลค่าเพิ่มและคุณภาพสูงเพื่อเสริมสร้างตำแหน่งของประเทศในตลาดต่างประเทศ และกล่าวว่า “การปรับปรุงความสามารถในการแปรรูปและการรับรองมาตรฐานสูงจะทำให้เราเพิ่มมูลค่าการส่งออกและดึงดูดผู้ซื้อจากต่างประเทศได้มากขึ้น” ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้หารือเกี่ยวกับนโยบายเพื่อการเติบโต โอกาสการลงทุน และกลยุทธ์ในการปรับปรุงการขนส่ง และการเข้าถึงตลาด ตอกย้ำความมุ่งมั่นของลาวที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำในการค้ามันสำปะหลังระดับโลก

*************************************

ที่มา : Vientiane Times

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เวียงจันทน์ สปป.ลาว