แนวโน้มตลาดขนมขบเคี้ยว ปี 2025: โอกาสสำหรับผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและรสชาติที่ลงตัว

สํานักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครแฟรงก์เฟิร์ต

 

ตลาดขนมขบเคี้ยวทั่วโลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ปัจจุบัน ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับสุขภาพและคุณค่าทางโภชนาการควบคู่ไปกับรสชาติ ทำให้ความต้องการขนมขบเคี้ยวเพื่อสุขภาพเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้รับแรงผลักดันจากวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปและความต้องการความสะดวกสบายในการบริโภคอาหารระหว่างมื้อ แม้รสชาติยังเป็นปัจจัยหลัก แต่ผู้บริโภคก็มองหาข้อมูโภชนาการบนบรรจุภัณฑ์ด้วย และเลือกซื้อขนมขบเคี้ยวเพื่อสุขภาพมากขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของตลาดที่ผู้ผลิตต้องตอบโจทย์ทั้งรสชาติและความต้องการด้านสุขภาพของผู้บริโภคได้อย่างลงตัว

 

ความนิยมของขนมขบเคี้ยวเพื่อสุขภาพไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากปัจจัยหลายประการที่ผลักดันให้ผู้บริโภคหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น อาทิ การเติบโตของประชากรสูงวัยที่มองหาอาหารส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค โดยเน้นอาหารที่ทำจากพืช โอเมก้า 3 และใยอาหาร รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตที่ผู้คนใส่ใจสุขภาพมากขึ้นล้วนมีส่วนสำคัญ นอกจากนี้ อัตราโรคอ้วนที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกทำให้ผู้บริโภคหันมาดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน โดยเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพและขนมขบเคี้ยวที่มีโปรตีนสูงและน้ำตาลต่ำเพื่อควบคุมน้ำหนัก อีกทั้งยังมองหาขนมขบเคี้ยวที่ให้ประโยชน์ทางจิตใจ เช่น ลดความเครียด เพิ่มพลังงาน และเสริมอารมณ์ดี ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้ม “Naturally Functional Foods” ที่มีส่วนผสมส่งเสริมสุขภาพ เช่น โปรไบโอติก พรีไบโอติก และสารต้านอนุมูลอิสระ และให้ความสำคัญกับโปรตีนในเรื่องความอิ่มท้อง ควบคุมน้ำหนัก ให้พลังงาน และเสริมภูมิคุ้มกัน

 

แนวโน้มสำคัญของตลาดขนมขบเคี้ยวในปี 2025

ตลาดขนมขบเคี้ยวทั่วโลกในปี 2025 กำลังถูกขับเคลื่อนด้วยแนวโน้มที่หลากหลาย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภค แนวโน้มที่สำคัญ มีดังนี้

  1. ขนมขบเคี้ยวจากพืช (Plant-Based Snacks): ความต้องการขนมขบเคี้ยวที่ทำจากส่วนผสมที่ไม่ได้มาจากสัตว์กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่แค่กลุ่มผู้บริโภคที่เป็นวีแกนเท่านั้น แต่ยังได้รับความนิยมในกลุ่มผู้บริโภคทั่วไปที่มองหาทางเลือกที่ยั่งยืน ดีต่อสุขภาพ และอร่อย การเติบโตของตลาดนี้ยังได้รับแรงหนุนจากการที่ผู้บริโภคจำนวนมากขึ้นหันมารับประทานอาหารที่เน้นพืชเป็นหลัก (plant-based diets)
  2. ตัวเลือกที่อัดแน่นด้วยโปรตีน (Protein-Packed Options): ขนมขบเคี้ยวที่มีโปรตีนสูงยังคงเป็นที่ต้องการอย่างมากในตลาด เนื่องจากผู้บริโภคมองหาประโยชน์จากขนมขบเคี้ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของความอิ่มท้องและการเสริมสร้างพลังงาน ตลาดโปรตีนสแน็คยังมีการเติบโตที่รวดเร็ว โดยเติบโตเร็วกว่าตลาดสแน็คโดยรวมถึงสามเท่า และกลุ่มผู้บริโภค Gen Z และ Millennials เป็นกลุ่มหลักที่ขับเคลื่อนการเติบโตนี้
  3. การหวนรำลึกถึงรสชาติในวัยเด็ก (Nostalgic Flavor Reinvention): ขนมขบเคี้ยวที่มีรสชาติที่ชวนให้นึกถึงวัยเด็ก แต่ได้รับการปรับปรุงให้มีความเป็นพรีเมียมหรือมีความทันสมัยมากขึ้นกำลังได้รับความนิยม รวมถึงการนำรสชาติคลาสสิกมาปรับปรุงให้ดีต่อสุขภาพมากขึ้น
  4. การผสมผสานรสชาติจากทั่วโลก (Global Flavor Integration): การเข้าถึงอาหารจากวัฒนธรรมต่างๆ ทั่วโลกทำได้ง่ายขึ้น ผู้บริโภคมีความต้องการที่จะลองรสชาติใหม่ ๆ และแปลกใหม่ นอกจากนี้ ยังมีขนมขบเคี้ยวที่ผสมผสานรสชาติแบบดั้งเดิมจากนานาชาติเข้ากับส่วนผสมใหม่ ๆ
  5. เน้นผลิตผล ลดน้ำตาล ลดสารปรุงแต่ง (More Produce, Less Sugar, Fewer Additives): ผู้บริโภคต้องการขนมขบเคี้ยวที่ทำจากผลผลิตทางการเกษตรมากขึ้น มีน้ำตาลและสารให้ความหวานสังเคราะห์น้อยลง และมีสารปรุงแต่งน้อยลง
  6. พลังแห่งใยอาหาร (The Power of Fiber): ใยอาหารกำลังกลายเป็นส่วนประกอบสำคัญในขนมขบเคี้ยว เนื่องจากมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของสุขภาพทางเดินอาหาร ใยอาหารช่วยส่งเสริมการทำงานของจุลินทรีย์ในลำไส้ ป้องกันโรคหัวใจ ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งลำไส้และโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ตลาดขนมขบเคี้ยวที่มีใยอาหารสูงมีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ และคาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง
  7. พรีไบโอติกและโพรไบโอติกเพื่อสุขภาพที่ดี (Prebiotics and Probiotics for Good Health): ความสนใจในสุขภาพของจุลินทรีย์ในลำไส้กำลังเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก แนวโน้มนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประโยชน์ต่อระบบทางเดินอาหารเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประโยชน์ต่อสุขภาพด้านอื่น ๆ เช่น สุขภาพเมตาบอลิซึม สุขภาพของผู้หญิง และสุขภาพภูมิคุ้มกัน
  8. ความหลากหลายของแหล่งโปรตีนจากพืช (Diversification of Plant Protein Sources): นอกเหนือจากโปรตีนจากพืชที่คุ้นเคย เช่น อัลมอนด์และข้าวโอ๊ตแล้ว ยังมีการนำโปรตีนจากพืชชนิดอื่น ๆ มาใช้ในการผลิตขนมขบเคี้ยวมากขึ้น เช่น โปรตีนจากถั่วเลนทิล ถั่วชิกพี เห็ด และถั่วปากอ้า การใช้แหล่งโปรตีนจากพืชที่หลากหลายนี้ช่วยให้ผู้ผลิตสามารถสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่แตกต่างกัน และตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่มีความต้องการด้านอาหารที่หลากหลาย
  9. ความสำคัญของเนื้อสัมผัส (The Importance of Texture): เนื้อสัมผัสกลายเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ผู้บริโภคให้ความสนใจในการเลือกซื้อขนมขบเคี้ยว ผู้บริโภคมองหาขนมขบเคี้ยวที่มีเนื้อสัมผัสที่หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื้อสัมผัสที่กรุบกรอบ ตั้งแต่ธัญพืชกรุบกรอบ ถั่วหมัก ไปจนถึงถั่วชิกพีอบกรอบ และเห็ดทอดกรอบ
  10. ความสะดวกสบายและรูปแบบที่พร้อมใช้งาน (Convenience and Ready-to-Eat Formats): ในยุคที่ผู้คนมีชีวิตที่เร่งรีบ ความสะดวกสบายในการบริโภคเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับขนมขบเคี้ยว ผู้บริโภคมองหาผลิตภัณฑ์ที่สามารถพกพาได้ง่าย รับประทานได้ทันที และเหมาะกับไลฟ์สไตล์ที่ต้องเดินทางอยู่เสมอ ขนมขบเคี้ยวในรูปแบบแท่ง (bars) และเครื่องดื่มพร้อมดื่ม (ready-to-drink shakes) จึงได้รับความนิยมอย่างมาก

****************************************************

ที่มา: ISM Cologne, Innova Market Insights

 

thThai