ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ระบุว่าเขาจะเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ทุกคันที่เข้ามายังสหรัฐฯ ในอัตรา 25% ซึ่งเป็นการดำเนินการตามคำมั่นสัญญาที่อาจส่งผลกระทบต่อราคายานยนต์ ซึ่งราคาได้พุ่งสูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เกิดการระบาด Covid-19 ประธานาธิบดีทรัมป์โพสต์เมื่อวันที่ 27 มี.ค. 2568 บนแพลตฟอร์ม Truth Social ว่าภาษีนำเข้ารถยนต์จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 3 เมษายน 2568 หนึ่งวันหลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์มีกำหนดจะประกาศใช้มาตรการภาษีต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) เดิมทีสหรัฐฯวางแผนที่จะเรียกเก็บภาษีในอัตราที่เทียบเท่ากับอัตราภาษีที่ประเทศอื่นเรียกเก็บจากสหรัฐฯ แต่ประธานาธิบดีทรัมป์ระบุว่าภาษีที่เขาวางแผนจะนำมาใช้มีแนวโน้มว่าจะต่ำกว่าระดับดังกล่าว
เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลกล่าวว่าภาษีนำเข้ารถยนต์จะครอบคลุมรถยนต์ที่ประกอบเสร็จและชิ้นส่วนยานยนต์ที่สำคัญ อาทิ เครื่องยนต์ เกียร์ ชิ้นส่วนระบบส่งกำลังและส่วนประกอบไฟฟ้า แต่ชิ้นส่วนยานยนต์ที่อยู่ภายใต้ข้อตกลงสหรัฐฯ-เม็กซิโก-แคนาดา (USMCA) จะยังคงได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าจนกว่าทางกระทรวงพาณิชย์ สหรัฐฯ จะพิจารณาความชัดเจนในการกำหนดการเก็บภาษีนำเข้าชิ้นส่วนยานยนต์ในกลุ่มนี้ต่อไป ผู้ผลิตรถยนต์สามารถลดภาษีนำเข้าลงได้โดยเพิ่มสัดส่วนชิ้นส่วนยานยนต์ที่ผลิตในสหรัฐฯ ให้มากขึ้น ผู้ผลิตที่นำเข้ารถยนต์ภายใต้ข้อตกลง USMCA สามารถคำนวณมูลค่าของชิ้นส่วนยานยนต์ที่นำเข้าจากต่างประเทศและขอให้กระทรวงพาณิชย์เรียกเก็บภาษี 25% เฉพาะมูลค่าชิ้นส่วนต่างประเทศ เช่นเดียวกันกับผู้นำเข้ารถยนต์จากประเทศอื่นๆ ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้ข้อตกลง USMCA ผู้นำเข้าสามารถหักมูลค่าชิ้นส่วนยานยนต์สหรัฐฯ ออกจากการคำนวณภาษีได้
ภาษีนำเข้ารถยนต์ 25% นี้จะถูกเพิ่มเข้าไปในภาษีนำเข้ารถยนต์ที่มีอยู่เดิมที่อัตรา 2.5% ที่สหรัฐฯ เรียกเก็บอยู่แล้ว นอกจากนี้ ภาษีนำเข้ารถยนต์ใหม่จะถูกเพิ่มเข้าไปในภาษีนำเข้ารถบรรทุกขนาดเล็ก 25% หรือที่รู้จักกันในชื่อภาษีไก่ (Chicken Tax) และภาษีนำเข้า 25% สำหรับสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโกที่ประธานาธิบดีทรัมป์เคยประกาศใช้ โดยประธานาธิบดีทรัมป์ให้เหตุผลว่าประเทศเหล่านี้ไม่ได้ดำเนินการมากพอที่จะหยุดยั้งการค้ายาเฟนทานิลที่ผิดกฎหมาย
จากข้อมูลของ S&P Global Mobility พบว่าเกือบครึ่งหนึ่งของรถยนต์นั่งส่วนบุคคลใหม่ที่ขายในสหรัฐฯ ในปี 2024 มีกระบวนการประกอบรถยนต์นอกประเทศสหรัฐฯ ซึ่งเม็กซิโกเป็นประเทศผู้ส่งออกรถยนต์รายใหญ่ที่สุดไปยังสหรัฐฯ โดยส่งออกทั้งรถกระบะจาก General Motors, Ram และ Toyota รวมถึง รถยนต์ราคาประหยัดจาก Nissan และรถหรูจาก BMW โดยแคนาดาเป็นผู้ส่งออกรถยอดนิยมอย่าง Audi Toyota RAV4 และ Honda Civic Autos Drive America กลุ่มนักธุรกิจตัวแทนของผู้ผลิตรถยนต์ต่างชาติที่มีฐานการผลิตในสหรัฐฯ เช่น Toyota, Volkswagen, Honda และ Hyundai กล่าวว่าภาษีนำเข้ารถยนต์จะทำให้รถยนต์มีราคาที่เอื้อมถึงได้ยากยิ่งขึ้น ซึ่งจะซ้ำเติมราคารถยนต์ให้แพงขึ้นอย่างมากต่อเนื่องจากที่ได้ปรับขึ้นจากสถานการณ์การระบาด Covid-19
American Automotive Policy Council กลุ่มตัวแทนของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ Ford Motor, GM และ Stellantis กล่าวว่า ต้องการให้มีการดำเนินการจัดเก็บภาษีศุลกากรโดยไม่ขึ้นราคาสำหรับผู้บริโภคหรือส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิตรถยนต์ในอเมริกาเหนือ
หลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ 25% หุ้นของบริษัท GM ร่วงลง 8% ขณะที่หุ้นของ Ford ร่วงลง 4.5% และหุ้นของ Stellantis ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของรถ Jeep และ Ram ร่วงลง 2.6% ส่วนหุ้น Tesla ซึ่งผลิตรถยนต์ที่จำหน่ายในสหรัฐฯ พุ่งขึ้นประมาณ 5%
นาย Jonathan Smoke หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากบริษัท Cox Automotive ผู้นำในธุรกิจซื้อขายรถยนต์ในสหรัฐฯ คาดการณ์ว่าภาษีนำเข้า 25% ที่ประธานาธิบดีทรัมป์เสนอให้จัดเก็บจากแคนาดาและเม็กซิโกจะเพิ่มต้นทุนรถยนต์ที่ประกอบในประเทศเหล่านั้นประมาณ 6,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อคัน โดยผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับภาคอุตสาหกรรม คือ การลดผลิตลง อุปทานที่ตึงตัว และราคารถยนต์ที่แพงขึ้น
ทีมงานของประธานาธิบดีทรัมป์มักมีท่าทีเปลี่ยนไปมาระหว่างการใช้มาตรการภาษีแบบสูงสุดและการผ่อนปรนให้กับบริษัทและประเทศคู่ค้า โดยเดิมทีประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่าจะบังคับใช้ภาษีเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น เซมิคอนดักเตอร์ ไม้แปรรูป และยาในวันที่ 2 เมษายนนี้ แต่ในวันพุธที่ 26 มี.ค. 2568 ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่าภาษีเหล่านั้นจะยังไม่ถูกนำมาใช้ในวันดังกล่าว แต่สามารถจะประกาศได้ในภายหลัง รวมทั้ง อัตราภาษีต่างตอบแทนก็คาดว่าจะต่ำกว่าอัตราภาษีที่ประเทศคู่ค้าเรียกเก็บจากสหรัฐฯ และจะมุ่งเป้าไปที่ “ทุกประเทศ” ไม่ใช่เพียง 15% ของประเทศที่เกินดุลอย่างต่อเนื่องกับสหรัฐตามที่รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง Scott Bessent เคยกล่าวไว้ นอกจากนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ยังย้ำคำมั่นที่เคยหาเสียงไว้ว่าจะกระตุ้นการซื้อรถยนต์ในสหรัฐฯ โดยกล่าวว่าเขากำลังทำงานร่วมกับประธานสภาผู้แทนราษฎร Mike Johnson เพื่อออกนโยบายให้ผู้บริโภคที่ซื้อรถยนต์ที่ผลิตในอเมริกาสามารถนำดอกเบี้ยผ่อนรถมาหักลดหย่อนภาษีเงินได้
ผลกระทบของภาษีรถยนต์นำเข้าต่อผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่
ประเทศผู้ส่งออกรถยนต์รายใหญ่หลายประเทศคาดว่าจะเข้าสู่ภาวะวิกฤตหลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ในอัตรา 25% ตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อ แบรนด์ยอดนิยมในวงกว้างตั้งแต่ Toyota ไปจนถึง Porsche
ข้อมูลจาก S&P Global Mobility ระบุว่าเกือบครึ่งหนึ่งของรถยนต์นั่งส่วนบุคคลใหม่ที่ขายในสหรัฐอเมริกาในปี 2024 ส่วนใหญ่นำเข้ามาจาก 5 ประเทศ ได้แก่ เม็กซิโก ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ แคนาดา และเยอรมนี

อุตสาหกรรมยานยนต์เป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ
อุตสาหกรรมยานยนต์นับเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจในประเทศผู้ส่งออก โดยเฉพาะประเทศที่มีสัดส่วนการส่งออกรถยนต์สูงเมื่อเทียบกับการส่งออกทั้งหมด นาย Takahide Kiuchi หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากสถาบัน Nomura Research Institute กล่าวว่าภาษีนำเข้ารถยนต์ของสหรัฐฯ อาจทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นลดลง 0.2 % และหากผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นย้ายฐานการผลิตไปยังสหรัฐฯ ผู้ผลิตอาจจะยังรักษายอดขายรถไว้ได้ แต่จะส่งผลกระทบในทางลบต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นในภาพรวม
อุตสาหกรรมยานยนต์ถือเป็นเสาหลักของเศรษฐกิจยุโรปเช่นกัน โดยคิดเป็น 7% ของผลผลิตทางเศรษฐกิจของสหภาพยุโรป การส่งออกรถยนต์ไปยังสหรัฐฯ ของเยอรมนีมีมูลค่าเกือบ 0.5% ของมูลค่าเพิ่มในเศรษฐกิจ ซึ่งภาษีนำเข้ารถยนต์จะส่งผลกระทบลึกถึงห่วงโซ่อุปทานของเยอรมนี โดย 1 ใน 3 ของผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ขนาดกลางและเล็กคาดการณ์ว่าจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากภาษีรถยนต์ของสหรัฐฯ
ผู้ผลิตรถยนต์ระดับโลกมากกว่า 10 ราย อาทิ General Motors, Mercedes-Benz, BMW, Hyundai และ Toyota มีโรงงานเกือบ 40 แห่งในเม็กซิโก ในปี 2024 เม็กซิโกส่งออกรถยนต์เกือบ 3 ล้านคันไปยังสหรัฐฯ และส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ถึง 40% ให้กับสหรัฐฯ ปัจจุบันมีชาวเม็กซิกันเกือบ 2 ล้านคนที่ทำงานในอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยปีที่แล้วมีมูลค่าการส่งออกอยู่ที่เกือบ 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
นาย Brian Kingston ประธานสมาคมผู้ผลิตยานยนต์ของแคนาดา กล่าวว่าตั้งแต่ปี 2020 มีการลงทุนมากกว่า 280,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในอุตสาหกรรมยานยนต์ในภูมิภาคอเมริกาเหนือ ซึ่งการลงทุนส่วนใหญ่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ และอยู่ภายใต้ข้อตกลงสหรัฐอเมริกา-เม็กซิโก-แคนาดา (USMCA) ที่ประธานาธิบดีทรัมป์ลงนามในปี 2018 ในปี 2024 อุตสาหกรรมยานยนต์ของแคนาดามีการจ้างงานมากกว่า 125,000 คน และผลิตรถยนต์ราว 1.3 ล้านคันซึ่งส่วนใหญ่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ
ผู้ส่งออกรายใหญ่
Toyota ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลกกล่าวว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ต้องพึ่งพาการส่งออกรถยนต์ไปยังสหรัฐฯ โดยรถที่วางขายในโชว์รูมของ Toyota ในสหรัฐฯ นั้นประกอบไปด้วยรถยนต์ไฮบริด Prius ที่ผลิตในญี่ปุ่น รถยนต์อเนกประสงค์ RAV4 ที่ผลิตในแคนาดา และรถกระบะ Tacoma ที่ผลิตในเม็กซิโก ในปี 2024 Toyota จำหน่ายรถยนต์ 2.3 ล้านคันในสหรัฐฯ โดยประมาณ 1 ใน 4 ของรถเหล่านี้ส่งออกมาจากญี่ปุ่น อีก 1 ใน 4 มาจากแคนาดาและเม็กซิโก ส่วนที่เหลือครึ่งหนึ่งผลิตในสหรัฐฯ
ประธานาธิบดีทรัมป์ต้องการให้ผู้ผลิตรถยนต์ย้ายฐานการผลิตมายังสหรัฐฯ บริษัทผลิตรถยนต์จากเกาหลี Hyundai ประกาศที่ทำเนียบขาวเมื่อวันจันทร์ที่ 24 มี.ค. 2568 ว่าจะลงทุนเพิ่มอีก 21,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์และซัพพลายเชนของสหรัฐฯ รวมถึงการสร้างโรงงานผลิตเหล็กมูลค่า 5.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในรัฐลุยเซียนา
แบรนด์รถหรูจากเยอรมัน Mercedes-Benz และ BMW ได้พัฒนาโรงงานผลิต SUV ในสหรัฐฯ มานานหลายทศวรรษ แต่ยังคงส่งออกทั้งรถยนต์นั่งส่วนบุคคล เครื่องยนต์ และระบบส่งกำลังจากยุโรปมายังสหรัฐฯ นอกจากนี้ รถยนต์จากแบรนด์อื่น ๆ เช่น Audi และ Porsche ที่จำหน่ายในสหรัฐฯ ก็เป็นรถนำเข้า ในขณะเดียวกัน Honda ผลิตรถยนต์ CR-V และ Civic ผลิตในแคนาดา รถยนต์ HR-V ผลิตในเม็กซิโก และส่งมาจัดจำหน่ายที่สหรัฐฯ
รัฐบาลทั่วโลกเตรียมการตอบโต้
เกาหลีใต้ประกาศแผนช่วยเหลือฉุกเฉินสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้า Ahn Duk-Geun กล่าวว่าอุตสาหกรรมยานยนต์กำลังเผชิญกับความเสียหายอย่างมาก ญี่ปุ่นระบุว่าจะขอให้ประธานาธิบดีทรัมป์ยกเว้นภาษี และอาจมีมาตรการตอบโต้ต่อภาษีของสหรัฐฯ
ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป Ursula Von Der Leyen ก็ออกมาประณามภาษีดังกล่าวว่าเป็นผลเสียต่อธุรกิจ และยิ่งแย่กว่าสำหรับผลกระทบกับผู้บริโภค สหภาพยุโรปจะแสวงหาทางออกจากผ่านการเจรจา ขณะเดียวกันก็จะปกป้องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของยุโรปเอง
ทางด้านรัฐบาลเม็กซิโกมีแผนจะเพิ่มความพยายามในการเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อขอเงื่อนไขภาษีที่ดีกว่า โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งเป็นภาคส่วนที่มีความเชื่อมโยงกับสหรัฐฯ อย่างแนบแน่น นาย Marcelo Ebard รัฐมนตรีเศรษฐกิจเม็กซิโก กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีว่า “สิ่งที่เราพยายามทำคือทำให้สินค้าที่ผลิตในเม็กซิโกมีราคาที่ดีกว่าประเทศอื่น เช่น เยอรมนี ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ซึ่งส่งออกไปยังสหรัฐฯ เช่นกัน”
ข้อมูลอ้างอิง Wall Street Journal