บังกลาเทศเตรียมปรับนโยบายนำเข้า หลังสหรัฐขึ้นภาษีสินค้าเป็น 37%

รัฐบาลบังกลาเทศกำลังเร่งปรับนโยบายการนำเข้า โดยจะลดมาตรการกีดกันที่ไม่ใช่ภาษี เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับการส่งออกสินค้าจากสหรัฐอเมริกา ขณะที่นายมูฮัมหมัด ยูนุส ประธานที่ปรึกษาของรัฐบาล ยังคงมองโลกในแง่ดีว่าการเจรจากับสหรัฐฯ จะช่วยแก้ไขปัญหาภาษีนำเข้าที่เพิ่งถูกปรับขึ้นได้
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังและกระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่า บังกลาเทศจะดำเนินการใน 3 ด้านหลักได้แก่:
1. ปรับปรุงกระบวนการลงทุนและทำธุรกิจให้ง่ายขึ้น
2. เจรจาลดภาษีผ่านการหารือทวิภาคีกับสหรัฐอเมริกา
3. เสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันภายในประเทศ
มาตรการเร่งด่วน
• กระทรวงการคลังได้รับมอบหมายให้ประเมินสถานการณ์อย่างเร่งด่วน
• กระทรวงพาณิชย์เตรียมการพบปะกับเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ที่กรุงธากาในวันอาทิตย์นี้ (6 เมษายน)
การตัดสินใจเหล่านี้เกิดขึ้นหลังการประชุมฉุกเฉินระหว่างที่ปรึกษาการคลังและที่ปรึกษาพาณิชย์ เพื่อหารือมาตรการตอบโต้หลังสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากบังกลาเทศ
รายละเอียดมาตรการภาษีใหม่
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ได้ประกาศเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากบังกลาเทศจากเดิม ร้อยละ 15 เป็นร้อยละ 37 โดยอ้างหลักการตอบโต้ทางการค้า โฆษกรัฐบาลบังกลาเทศกล่าวว่า “เรากำลังศึกษารายละเอียดของมาตรการนี้อย่างละเอียด และพร้อมที่จะเจรจาเพื่อหาข้อตกลงที่เหมาะสมที่สุดสำหรับทั้งสองฝ่าย”
แผนปฏิบัติการของบังกลาเทศ
1. ปรับเปลี่ยนนโยบายนำเข้าทันที โดยเฉพาะการลดอุแสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี
2. ดำเนินการเจรจาทวิภาคีผ่านช่องทางทางการทูต
3. ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตภายในประเทศ
ข้อมูลการค้าระหว่างประเทศ
• มูลค่าการส่งออกของบังกลาเทศไปสหรัฐอเมริกาปี 2567: 8.4 พันล้านดอลลาร์
• มูลค่าการนำเข้าจากสหรัฐอเมริกา: 2.2 พันล้านดอลลาร์
ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจระบุว่า สหรัฐอเมริกากำลังให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาการขาดดุลการค้า และประเทศที่ให้ความร่วมมือในการลดภาษีมักจะได้รับการตอบแทนในทางบวก

ความเห็นสำนักงาน
มาตรการภาษีของสหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจบังกลาเทศ โดยเฉพาะการพึ่งพาส่งออก เสื้อผ้าสำเร็จรูป (RMG) ซึ่งคิดเป็นกว่าร้อยละ 80 ของการส่งออกทั้งหมด และเป็นส่วนสำคัญของ GDP
1. ผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจบังกลาเทศ
ก. การส่งออกเสื้อผ้าลดลง สหรัฐฯ เป็น ตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของบังกลาเทศ (มูลค่ากว่า 7,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี ประมาณร้อยละ 9 ในตลาดสหรัฐ) หากสหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้า บังกลาเทศอาจเสียเปรียบคู่แข่ง เช่น เวียดนาม อินเดีย และประเทศแอฟริกา อาจเสียส่วนแบ่งตลาดให้กับคู่แข่งที่ได้ข้อตกลงการค้าที่ดีกว่า
ข. รายได้จากเงินตราต่างประเทศลดลง และปัญหาดุลบัญชีเดินสะพัด การส่งออก RMG ลดลง = เงินดอลลาร์ไหลเข้าลดลง → อาจทำให้ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดมากขึ้น ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของบังกลาเทศอยู่ภายใต้ความกดดันอยู่แล้ว การส่งออกลดลงอาจทำให้ต้องกู้ยืมเพิ่ม
ค. การว่างงานและผลกระทบทางสังคม อุตสาหกรรม RMG จ้างงาน กว่า 4 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงหากการส่งออกลดลง อาจเกิดการปิดโรงงาน ตัดงาน และความไม่สงบทางสังคม
ง. การลงทุนชะลอตัว นักลงทุนต่างชาติและในประเทศอาจชะลอแผนขยายตัว เนื่องจากความไม่แน่นอนอุตสาหกรรมที่พึ่งพาการส่งออก (สิ่งทอ เครื่องหนัง รองเท้า) อาจได้รับผลกระทบ
2. ปัจจัยที่อาจช่วยบรรเทาผลกระทบ ได้แก่
(1) การปรับพ้นสถานะ LDC และได้รับสิทธิ์ GSP+ จาก EU บังกลาเทศกำลังจะพ้นสถานะประเทศพัฒนาน้อยที่สุด (LDC) ในปี 2026 อาจขอสิทธิ์ GSP+ จากสหภาพยุโรป (ส่งออกปลอดภาษี หากปฏิบัติตามเงื่อนไขแรงงานและสิ่งแวดล้อม)
(2) ความพยายามกระจายตลาดส่งออก บังกลาเทศกำลังพยายามขยายสินค้าใหม่สู่ตลาด ได้แก่ ยา สินค้าเครื่องหนัง และบริการไอที เพื่อลดการพึ่งพา RMG
(3) ตลาดทางเลือกอาจเพิ่มการส่งออกไปยัง จีน อินเดีย ญี่ปุ่น และตลาดใหม่ๆ เพื่อชดเชยการสูญเสียจากสหรัฐฯ
3. ผลกระทบระยะยาว หากมาตรการภาษียังคงมีผล บังกลาเทศอาจต้องปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและมาตรฐานแรงงาน เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน เสริมสร้างการทูตเชิงการค้า เพื่อเจรจาหาข้อตกลงที่ดีขึ้นหลังจากพ้นสถานะ LDC รวมทั้งเร่งทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) กับพันธมิตรสำคัญ

——————

ที่มา ภาพ/ข่าว นสพ. ออนไลน์ท้องถิ่น https://www.tbsnews.net/

สคต. ณ กรุงธากา
เมษายน 2568

thThai