ผลกระทบของมาตรการภาษีของทรัมป์ต่ออียิปต์

หลังจากช่วงเทศกาลอีดสิ้นสุดลง ประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกาได้ประกาศใช้มาตรการภาษีตอบโต้ทางการค้ากับประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ รวมถึงอียิปต์ โดยกำหนดภาษีนำเข้า 10 เปอร์เซ็นต์ สำหรับสินค้าส่งออกจากอียิปต์ เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 โดยทรัมป์ประกาศให้วันนั้นเป็น “วันแห่งการปลดปล่อย” และลงนามในคำสั่งพิเศษเพื่อเพิ่มภาษีนำเข้าต่อประเทศที่สหรัฐฯ กล่าวหาว่าเก็บภาษีสินค้าอเมริกันสูงเกินไป

 

ข้อคิดเห็น/ข้อเสนอแนะ

  1. ผลกระทบต่ออียิปต์ สำหรับอียิปต์ มาตรการภาษีนี้ส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม แม้ว่าผู้ส่งออกอาจไม่รู้สึกถึงผลกระทบมากนัก แต่เศรษฐกิจโลกที่ผันผวนก็ส่งผลกระทบต่ออียิปต์โดยรวมได้ ดังนี้
  • ผลกระทบทางตรง: นักเศรษฐศาสตร์บางคนมองว่าภาษี 10 เปอร์เซ็นต์ ต่อสินค้าส่งออกของอียิปต์นั้นค่อนข้างน้อย และคล้ายกับการไม่มีภาษีเลย ทำให้ผลกระทบโดยตรงต่ออียิปต์แทบไม่มี
  • ผลกระทบทางอ้อม: อย่างไรก็ตาม ผลกระทบในวงกว้างของมาตรการภาษีของทรัมป์อาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจของอียิปต์ เช่น อาจทำให้รายได้จากคลองสุเอซลดลง หากข้อพิพาททางการค้าและปริมาณการค้าระหว่างประเทศลดลง
  • ราคาน้ำมัน: ราคาน้ำมันลดลงอย่างมากหลังจากโอเปกพลัสเพิ่มการผลิต ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อโครงการโครงสร้างพื้นฐานของอียิปต์ที่พึ่งพารายได้จากการส่งออกน้ำมัน
  • ราคาสินค้าอุปโภคบริโภค: อียิปต์ซึ่งพึ่งพาการนำเข้าธัญพืช น้ำมัน และสินค้าอุปโภคบริโภค อาจเผชิญกับราคาสินค้าที่สูงขึ้น เนื่องจากมาตรการภาษีส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานและเพิ่มต้นทุนการนำเข้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งอียิปต์เป็นผู้นำเข้าข้าวสาลีรายใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งอาจส่งผลให้ราคาขนมปังซึ่งเป็นสินค้าจำเป็นสูงขึ้น
  • โอกาส: ในระยะยาว อียิปต์อาจใช้มาตรการภาษีนี้เป็นโอกาสในการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ โดยเฉพาะการลงทุนในอุตสาหกรรมที่เน้นการส่งออกไปยังสหรัฐฯ เนื่องจากผู้ผลิตจากจีนและยุโรปต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นในการเข้าถึงตลาดสหรัฐฯ สินค้าจากอียิปต์จะเผชิญกับภาษีเพียง 10 เปอร์เซ็นต์

 

  1. ผลกระทบต่อการค้าระหว่างไทยและอียิปต์ การที่ประธานาธิบดีทรัมป์ขึ้นภาษีนำเข้า 10% ต่อสินค้าจากอียิปต์ อาจส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างไทยและอียิปต์ได้หลายทาง แม้ว่าผลกระทบโดยตรงจะอยู่ที่สินค้าอียิปต์ที่ส่งไปยังสหรัฐฯ แต่ผลกระทบทางอ้อมต่อเศรษฐกิจโลกและห่วงโซ่อุปทานอาจส่งผลถึงการค้าทวิภาคีระหว่างไทยและอียิปต์ได้ ดังนี้

ผลกระทบทางอ้อมสำคัญ เช่น (1) การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก: หากมาตรการภาษีของทรัมป์นำไปสู่สงครามการค้าที่รุนแรงขึ้น เศรษฐกิจโลกอาจชะลอตัวลง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อปริมาณการค้าโดยรวม รวมถึงการค้าระหว่างไทยและอียิปต์ (2) ความผันผวนของตลาดการเงิน: ความไม่แน่นอนจากนโยบายภาษีอาจทำให้ตลาดการเงินผันผวน ส่งผลกระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยน และความเชื่อมั่นของนักลงทุน ซึ่งอาจกระทบต่อการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ (3) ผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน: หากสินค้าที่ไทยและอียิปต์ค้าขายกันมีส่วนประกอบหรือวัตถุดิบที่มาจากประเทศที่ถูกสหรัฐฯ ขึ้นภาษี ก็อาจทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นและกระทบต่อปริมาณการค้าได้

 

โอกาสที่อาจเกิดขึ้น เช่น (1) การเบี่ยงเบนทางการค้า: หากสินค้าอียิปต์ส่งออกไปยังสหรัฐฯ ได้ยากขึ้น อียิปต์อาจมองหาตลาดอื่นมากขึ้น ซึ่งไทยอาจเป็นหนึ่งในตลาดเหล่านั้นได้ ในทางกลับกัน หากสินค้าไทยส่งออกไปยังสหรัฐฯ ยากขึ้นเช่นกัน ไทยก็อาจมองหาตลาดในอียิปต์มากขึ้น (2) ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ: แรงกดดันจากภายนอกอาจกระตุ้นให้ไทยและอียิปต์หันมาส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างกันมากขึ้น เพื่อลดผลกระทบจากการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ

 

ข้อควรพิจารณา เช่น (1) ประเภทสินค้าที่ค้าขาย: ผลกระทบจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทของสินค้าที่ไทยและอียิปต์ค้าขายกัน หากสินค้าเหล่านั้นแข่งขันกับสินค้าจากประเทศที่ถูกสหรัฐฯ ขึ้นภาษี อาจมีผลกระทบน้อยกว่าสินค้าที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานเดียวกัน (2) นโยบายตอบโต้: หากประเทศอื่น ๆ ตอบโต้มาตรการภาษีของสหรัฐฯ ก็อาจทำให้สถานการณ์การค้าระหว่างประเทศซับซ้อนยิ่งขึ้น และส่งผลกระทบต่อไทยและอียิปต์ได้

 

การที่ทรัมป์ขึ้นภาษีต่ออียิปต์อาจส่งผลกระทบต่อการค้าไทย-อียิปต์ในทางอ้อมผ่านการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและความผันผวนของตลาด อย่างไรก็ตาม ก็อาจเปิดโอกาสให้ทั้งสองประเทศหันมาส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างกันมากขึ้นเพื่อลดผลกระทบจากความไม่แน่นอนในระบบการค้าโลก ไทยและอียิปต์ควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเตรียมพร้อมปรับตัวเพื่อรับมือกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

thThai