การส่งออกของอินเดียโดยรวม (สินค้าและบริการรวมกัน) สำหรับเดือนมีนาคม 2568 มีมูลค่า 73.61 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 2.65  เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของ ปีก่อนหน้า ส่วนการนำเข้า (สินค้าและบริการรวมกัน) สำหรับเดือนมีนาคม 2568 มีมูลค่า 77.23 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 4.90 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของ ปีก่อนหน้า

การส่งออกรวมภาคสินค้าและบริการของอินเดียสะสมระหว่างเดือนเมษายน 2567 – มีนาคม 2568   มีมูลค่า 820.93 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 5.50 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ส่วนการนำเข้าสะสมระหว่างเมษายน 2567 – มีนาคม 2568 มีมูลค่า 915.19 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 6.85 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

  1. การค้าสินค้า

การส่งออก เดือนมีนาคม 2568 มีมูลค่า 41.97 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ มากกว่าช่วงเดือนเดียวกันของปีก่อนที่ระดับ 41.69 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมันและอัญมณีและเครื่องประดับมีมูลค่า 34.17 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ มากกว่าช่วงเดือนเดียวกันของปีก่อนที่ระดับ 33.66 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

สินค้าส่งออกที่ขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับช่วงเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า ได้แก่ กาแฟ (39.20%) , ยาและเวชภัณฑ์ (31.21%), สินค้า Electronic (29.57%) , Marine Products (28.56%) , วัสดุปูพื้น (21.67%) ตามลำดับ

ประเทศที่อินเดียมีมูลค่าการส่งออกสินค้าเพิ่มขึ้นในเดือนมีนาคม 2568 เทียบกับปีที่ผ่านมามากที่สุด 5 ลำดับแรก ได้แก่ เคนยา (98.46%) , ออสเตรเลีย (70.08%) , โตโก (46.52%), สหรัฐอเมริกา (35.06%), และ สหราชอาณาจักร (8.43%)

ขณะที่ภาพรวมการส่งออกสินค้า 12 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2024 (เมษายน 2567 – มีนาคม 2568) มีมูลค่า 437.42 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ มากกว่าช่วงเดือนเดียวกันของปีก่อนที่ระดับ 437.07 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมันและอัญมณีและเครื่องประดับแล้วมีมูลค่า 344.26 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ มากกว่าช่วงเดือนเดียวกันของปีก่อนที่ระดับ 320.21 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

การนำเข้า เดือนมีนาคม 2568 มีมูลค่า 63.51 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ มากกว่าช่วงเดือนเดียวกันของปีก่อนที่ระดับ 57.03 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมันและอัญมณี และเครื่องประดับแล้วมีมูลค่า 37.76 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ มากกว่าช่วงเดือนเดียวกันของปีก่อนที่ระดับ 35.85 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

สินค้านำเข้าที่หดตัวอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ สินค้าคงทน (-87.25%) , โลหะเงิน (-85.39%) , ถ่านหิน (-30.18%) ,Transport Equipment  (-25.53%), เมล็ดถั่ว (-23.45%) ตามลำดับ

ประเทศที่อินเดียมีมูลค่าการนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้นในเดือนธันวาคม 2567 เทียบกับปีที่ผ่านมามากที่สุด 5 ลำดับแรก ได้แก่ ไอร์แลนด์ (208.09%), คูเวต (93.80%), UAE (57.25%) , ซาอุดิอาระเบีย (44.03%) และ จีน (25.02%)

ขณะที่ภาพรวมการนำเข้าสินค้า 12 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2024 (เมษายน 2567 – มีนาคม 2568) มีมูลค่า 720.24 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ มากกว่าช่วงเดือนเดียวกันของปีก่อนที่ระดับ 678.21 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมันและอัญมณีและเครื่องประดับแล้วมีมูลค่า 453.62 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ มากกว่าช่วงเดือนเดียวกันของปีก่อนที่ระดับ 424.67 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

ดุลการค้าสินค้า เดือนมีนาคม 2568 ขาดดุลการค้า 21.54 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ขณะที่ช่วงเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้าขาดดุลที่ระดับ 15.34 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ทำให้อินเดียขาดดุลการค้าสินค้าสะสม 12 เดือนแรกมูลค่า 282.83 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งขาดดุลมากขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่ระดับ 241.14 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

  1. การค้าบริการ*

เดือนมีนาคม 2568 การส่งออกบริการมีมูลค่า 31.64 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ มากกว่าช่วงเดือนเดียวกันของปีก่อนที่ระดับ 30.01 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ การนำเข้า มีมูลค่า 13.73 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ น้อยกว่าช่วงเดือนเดียวกันของปีก่อนที่ระดับ 16.60 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ดุลการค้า เกินดุลมูลค่า 17.91 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ มากกว่าช่วงเดือนเดียวกันของปีก่อนที่ระดับ 13.41 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

ภาพรวมการบริการ 12 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2024 (เมษายน 2567 – มีนาคม 2568) มีมูลค่าเกินดุล 188.57 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ มากกว่าช่วงเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้าที่ระดับ 162.75 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

ข้อคิดเห็น

1). ภาพรวมการค้าของอินเดียในเดือนมีนาคม 2568 แนวโน้มเศรษฐกิจของอินเดียยังคงเป็นไปในทิศทางบวก แม้ว่าการเติบโตจะลดลงบ้างเมื่อเปรียบเทียบกับหลายปีก่อน โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดียจะยังคงแข็งแกร่งที่ 6.5% ทั้งปี 2568 และ 2569     ขณะที่ธนาคารโลกคาดการณ์ว่าอัตราการเติบโตของอินเดียจะเติบโตแบบคงที่อยู่ที่ประมาณ 6.7%     ทั้งในปีงบประมาณ 2569 และ 2570 พร้อมรักษาตำแหน่งประเทศเศรษฐกิจใหญ่ที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก ปัจจัยสำคัญที่เป็นตัวผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดีย ได้แก่ ภาคบริการ การส่งออกด้านการผลิตส่วนประกอบที่มีมูลค่าเพิ่ม เช่น อิเล็กทรอนิกส์ เซมิคอนดักเตอร์และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับยา แสดงให้เห็นว่าบทบาทของอินเดียในห่วงโซ่คุณค่าในระดับโลกมากขึ้น ทั้งนี้ มีหลายปัจจัยที่อาจทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดียชะลอตัวลง ได้แก่ การใช้จ่ายด้านการลงทุนที่ลดลง เงินเฟ้อ การขาดดุลงบประมาณ และการเติบโตด้านอุตสาหกรรมชะลอตัวลง รวมถึงความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก เช่น การแข็งค่าขึ้นของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐและการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการค้าต่างๆ

2.) การพยายามรับมือสงครามการค้าของอินเดียยังคงมีการปรับกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง เช่น

  • การกระจายความเสี่ยงด้านตลาดส่งออกโดยขยายการค้ากับประเทศอื่นๆ แทนตลาดสหรัฐฯ มากยิ่งขึ้นด้วยการสำรวจเส้นทางการค้าอื่นๆ สร้างคู่ค้าใหม่ๆ มาทดแทน
  • การพัฒนาคุณภาพของสินค้าส่งออกเน้นไปที่สินค้ามูลค่าสูงซึ่งจะช่วยให้สินค้าของอินเดียแข่งขันได้มากขึ้นในตลาดโลก
  • การเจรจาความตกลงการค้าเสรีกับทั้งสหรัฐฯและประเทศอื่นๆ มากขึ้น
  • การขับเคลื่อนด้วยตลาดภายในประเทศ กระตุ้นอุปสงค์ภายในทำให้ตลาดภายในประเทศแข็งแกร่งขึ้นช่วยบรรเทาผลกระทบจากการส่งออกที่ลดลง บรรเทาผลกระทบเชิงลบต่างๆ ได้ และสามารถเดินหน้าสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง

3.) รองประธานาธิบดีเจดี แวนซ์ ของสหรัฐ เริ่มภารกิจเยือนอินเดียท่ามกลางสงครามการค้าโลก

การเยือนของรองประธานาธิบดี เจ.ดี. แวนซ์ แสดงให้เห็นถึงการเป็นพันธมิตรทางการค้ารายใหญ่ที่สุดของอินเดีย เกิดขึ้นท่ามกลางการจัดเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ เจดี แวนซ์ ยังกล่าวเพิ่มเติมว่าสหรัฐฯ ต้องการขยายการส่งออกพลังงานและยุทโธปกรณ์ทางทหารมายังอินเดีย โดยทั้งสองผู้นำได้พูดคุยถึงความร่วมมือในด้านการป้องกันประเทศ เทคโนโลยีกลยุทธ์ และพลังงาน ทั้งนี้ อินเดียเป็นหนึ่งในหลายประเทศที่เร่งเจรจาข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ภายใต้ช่วงเวลาพักเบรกภาษี 90 วัน ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 9 กรกฎาคมนี้ ก่อนหน้านั้น อินเดียกำลังจะเผชิญภาษีนำเข้า 27% จากสหรัฐฯ แต่หลังการพักเบรก ทั้งสองฝ่ายต้องเดินหน้าเจรจาเพื่อให้ได้ข้อสรุปโดยเร็ว เพื่อให้มีเวลาสำหรับการเจรจาและกำหนดโครงสร้างข้อตกลงที่กว้างขึ้น

อินเดียแสดงให้เห็นว่า อินเดียเป็นหุ้นส่วนแห่งความร่วมมือในนโยบายสำคัญของทรัมป์ด้วยการประกาศภาษีศุลกากรเป็นการตอบโต้ อินเดียเร่งขยับด้วยการลดภาษีสินค้าอเมริกันลงอย่างรวดเร็ว เช่น สุราเบอร์เบิน    จากเคนทักกี และรถจักรยานยนต์ฮาร์เลย์ เดวิดสัน ทั้งนี้หลังจากที่โมดีเยือนสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา อินเดียเห็นชอบซื้อสินค้าอเมริกันให้มากขึ้น เช่น น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติเหลว และอาวุธไฮเทค เพื่อลดการได้เปรียบดุลการค้า 4.77 หมื่นล้านดอลลาร์กับสหรัฐ

อินเดียได้ทยอยลดภาษีนำเข้าสินค้าหลายรายการในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา และกำลังพิจารณาลดภาษีนำเข้าเพิ่มเพื่อสร้างความพอใจให้สหรัฐอเมริกา ซึ่งทั้งสองประเทศกำลังเจรจาเพื่อบรรลุข้อตกลงการค้าทวิภาคี  เพื่อเจรจาข้อตกลงการค้าทวิภาคีกับสหรัฐอเมริกาและเสริมสร้างความสัมพันธ์กับรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ทบทวนและประเมินความคืบหน้าในด้านต่างๆ ของความร่วมมือทวิภาคีในเชิงบวก ซึ่งทางอินเดียได้แถลงการณ์ว่าอินเดียยังยินดีกับความคืบหน้าที่สำคัญในการเจรจาข้อตกลงการค้าที่คาดว่าจะเกิดขึ้นระหว่างสองประเทศ โดยทั้งสองประเทศได้ตั้งเป้าหมายในการเพิ่มมูลค่าการค้าทวิภาคีให้มากกว่าสองเท่าเป็น 500,000 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2030           หากบรรลุข้อตกลงการค้าดังกล่าว จะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างทั้งสองประเทศได้อย่างมีนัยสำคัญ และเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตด้วย

4.ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% สู่ระดับ 6% เห็นได้ว่าธนาคารกลางอินเดียมีการผ่อนคลายนโยบายการเงินผ่านการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเพื่อสนับสนุนการลงทุนในประเทศเพิ่มเติมตามแผนงบประมาณ 2568-2569

* หมายเหตุ: จากข้อมูลล่าสุดของธนาคารกลางอินเดีย ข้อมูลภาคบริการเปิดเผยถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ในส่วนของข้อมูลของเดือนมีนาคม 2568 เป็นเพียงการประมาณการ ซึ่งอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงในการเปิดเผยข้อมูลครั้งต่อไป

ข้อมูลอ้างอิง:

– Ministry of Commerce and Industry, 15 April 2025, Latest Trade Figures

– https://www.thehindu.com/news/national/america-wants-access-to-indian-markets-says-us-vp-jd-vance-in-jaipur/article69478260.ece

-https://apnews.com/article/vance-us-pope-migration-16a4474286b2037ae84a019285c90a3


สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงนิวเดลี

thThai