(ที่มา : สำนักข่าว The Korea Times ฉบับวันที่ 4 พฤษภาคม 2566)
เมื่อวันพุธที่ 3 พฤษภาคม 2566 เจ้าหน้าที่ของบริษัท Emart แถลงว่า ในขณะที่ผู้ค้าปลีกจำนวนมากดำเนินธุรกิจตามกระแสโลกด้วยการค้าออนไลน์ในช่วงการระบาดโควิด 19 แต่ Emart กลับมุ่งเน้นไปที่การขยายธุรกิจ ออฟไลน์ ซึ่งการดำเนินการธุรกิจแบบออฟไลน์นี้เริ่มแสดงผลลัพธ์ที่ดี
สาขาของ Emart ในเขตยอนซู เมืองอินชอน ที่ผ่านการปรับปรุงใหม่และกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2566 สาขาดังกล่าวมียอดจำหน่ายสูงขึ้น 18% และมีจำนวนผู้เข้าใช้บริการเพิ่มขึ้น 23% ในเดือนแรก เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า
Emart ได้นำความเชี่ยวชาญที่สั่งสมเป็นระยะเวลา 30 ปีในธุรกิจค้าปลีก มายกระดับแผนกซุปเปอร์มาร์เก็ตและได้มีการจัดทำมุมสินค้าพิเศษที่สาขายอนซู ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการดึงดูดลูกค้ามากกว่าเดิม
ในส่วนของซุปเปอร์มาร์เก็ต ได้มีการนำเทคโนโลยีฟาร์มอัจฉริยะมาช่วยในการเพาะปลูกผักเพื่อจัดหาสินค้าที่สดใหม่ให้กับลูกค้า และทุกๆ เดือนจะมีการสาธิตการแล่ปลาทูน่าสำหรับลูกค้าที่สนใจอยากชมการสาธิตอีกด้วย ในส่วนของ Kids Bounce ซึ่งเป็นพื้นที่เล่นในร่มสำหรับเด็ก และมีร้านจำหน่ายของที่ระลึกของทีมเบสบอลมืออาชีพของ Shinsegae ที่ชื่อว่า SSG Landers ได้มีการจำลองห้องล็อกเกอร์ของผู้เล่น Shinsegae ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Emart ด้วย
นอกจากนี้ บริษัทได้มีการเชิญร้านอาหารและร้านกาแฟยอดนิยม 25 ร้านในกรุงโซลและเมืองซูวอน จังหวัดคยองกี มาเปิดร้านที่ Emart สาขายอนซู ซึ่งหลายๆ ร้านที่มาเปิดเป็นสาขาแรกในอินชอน ส่งผลให้ที่นั่งเต็มเกือบ 90% ในวันธรรมดาและมีแถวรอต่อคิวยาวในวันหยุดสุดสัปดาห์
นาย ชอง ยงจิน รองประธาน Shinsegae กล่าวระหว่างการเยี่ยมชมสาขายอนซูว่า “คำตอบของบริษัทสำหรับอนาคตของธุรกิจจะอยู่ที่ตลาดเสมอ ซึ่งตลาดเป็นสถานที่ที่ลูกค้าและสินค้าของเราอยู่ และตลาดดังกล่าวเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับความคิดริเริ่มเชิงกลยุทธ์ของ Shinsegae Group เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน”
Emart สาขายอนซู รวมไปถึงสาขาวอลกเย ทางตอนเหนือของกรุงโซล จะเป็นร้านค้าต้นแบบ typical hybrid ที่มีจุดดึงดูดความสนใจ และช่วยเพิ่มประสบการณ์ให้กับลูกค้า
ทุกๆปี บริษัทจะปรับปรุงสาขาทั่วประเทศเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจออฟไลน์ โดยเริ่มเป็นสาขาแรกที่สาขาวอลกเย และมีการปรับปรุงสาขา 9 สาขาในปี 2563 และ 19 สาขาในปี 2564 และมีการปรับปรุงเพิ่ม 8 สาขาในปีที่แล้ว ในส่วนของปีนี้ Emart จะเปิดตัวสาขาที่มีการปรับปรุงใหม่ที่อาคาร KINTEX ในเมืองอิลซาน จังหวัดคยองกี ในเดือนกรกฎาคม ตามด้วยสาขายอนซู
นายชองกล่าวว่า “อนาคตของธุรกิจออฟไลน์ขึ้นอยู่กับนวัตกรรมเชิงพื้นที่ที่ให้ความสนใจอย่างจริงจังกับกลุ่มลูกค้าและการวิจัย” และได้กล่าวอีกว่า “เราจำเป็นต้องสร้างเหตุผลให้ลูกค้ามาใช้บริการที่ร้านค้าของเรา ผ่านการเปลี่ยนแปลงและนวัตกรรมที่ขยายขอบเขตประสบการณ์ของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เราจะขยายจักรวาล Shinsegae อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะมอบประสบการณ์ใหม่ๆ และสนุกสนานให้กับลูกค้าของเรา เพื่อให้บรรลุผลดังกล่าว เราจะมุ่งเน้นไปที่การปรับเปลี่ยนรูปโฉมใหม่ของร้านค้าเป็นหนึ่งในกลยุทธ์หลักของเรา”
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงโซล พิจารณาแล้วเห็นว่า หลังจากการแพร่ระบาดของโควิด 19 ผู้คนในเกาหลีใต้เริ่มกลับมาใช้ชีวิต และจับจ่ายใช้สอยกันปกติ ซึ่งส่งผลให้ธุรกิจร้านค้าปลีกแบบออฟไลน์ของเกาหลีใต้กลับมาคึกคักอีกครั้ง ในส่วนของร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ ต่างพยายามปรับปรุงร้านค้าให้ดึงดูดลูกค้ามาใช้บริการที่สาขามากยิ่งขึ้น จากการที่ Emart พยายามที่จะพัฒนาร้านค้าให้มีความหลากหลาย ดึงดูดลูกค้ามากยิ่งขึ้น
จึงนับว่าเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทย ที่จะนำเสนอและส่งออกสินค้ามาขายยังร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ของเกาหลีใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สินค้าอาหารที่ใส่ใจสุขภาพ สินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สินค้าของใช้สัตว์เลี้ยง เป็นต้น ซึ่งกำลังเป็นกระแสในตลาดเกาหลีใต้
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงโซล
จัดทำโดย นางสาวศีดา สมานมิตร
ตรวจทานโดย นางสาวชนัญญา พรรณรักษา
ผอ. สคต. ณ กรุงโซล