ตลาดรถยนต์ของอินเดียตั้งเป้าที่จะสร้างรายได้ถึง 3 แสนล้านเหรียญภายในปี 2569 โดยได้รับแรงขับเคลื่อนจากปัจจัยที่มีผลต่อการจำหน่ายรถยนต์ อาทิ รายได้ต่อหัวที่เพิ่มขึ้น การขยายตัวของชุมชนเมืองและขนาดของชนชั้นกลาง เมื่อเดือนมีนาคม 2567 อุตสาหกรรมดังกล่าวสามารถผลิตรถได้จำนวน 2.3 ล้านคัน โดยรถระบบขับเคลื่อนสองล้อยังครองแชมป์ผู้นำในตลาด ซึ่งในไตรมาส 1/2567 มียอดการผลิตในภาคอุตสาหกรรมรวมทั้งสิ้น 7,394,417 คัน ครอบคลุมตั้งแต่รถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถเพื่อการพาณิชย์ รถระบบขับเคลื่อนสามล้อ สองล้อ และสี่ล้อ
อินเดียเป็นผู้ผลิตรถระบบขับเคลื่อนสองล้อที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วยกำลังการผลิตมากกว่า 21 ล้านคันต่อปี และเป็นผู้ผลิตรถแทรกเตอร์รายใหญ่ที่สุด ภาคอุตสาหกรรมยานยนต์นี้มีศักยภาพในการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ เป็นผู้นำอันดับที่ 3 ด้านการผลิตรถบรรทุกขนาดใหญ่ และอันดับที่ 4 การผลิตรถอเนกประสงค์ โดยมีนโยบายภาครัฐ อาทิ Make in India และแผนส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าระดับชาติ (NEMMP) เป็นส่วนช่วยผลักดันการเติบโตเรื่อยมา สำหรับตลาดรถยนต์ไฟฟ้า EV คาดว่าจะเติบโตในอัตราเฉลี่ยที่ร้อยละ 49 ระหว่างปี 2565-2573 โดยมีนโยบายเร่งผลักดันให้ประเทศกลายเป็นศูนย์กลางผลิตรถยนต์ไฟฟ้าระดับสากลภายในปี 2568 โดยอุตสาหกรรมนี้ยังสามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศมูลค่า 35.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงเดือนเมษายน 2543 – กันยายน 2566
อุตสาหกรรมยานยนต์มีส่วนสำคัญในการสร้างงานสร้างรายได้และสร้างการเจริญเติบโตของ GDP ให้กับประเทศ โดยสามารถผลิตแรงงานทั้งทางตรงและทางอ้อมได้ถึง 19 ล้านคน โดยประเทศยังสามารถแสดงจุดยืนการเป็นผู้นำด้านการผลิตรถยนต์ระบบขับเคลื่อน 2 ล้อและรถแทรกเตอร์ อย่างไรก็ดี ปัจจุบันผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ส่งผลให้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้ามีการตื่นตัวซึ่งอินเดียกลายเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดดังกล่าว และตั้งเป้าที่จะก้าวสู่ลำดับที่ 3 ของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า EV ของโลกให้ได้ภายในปี 2025 จะเน้นการใช้เทคโนโลยีสะอาด ทั้งนี้ คาดว่าภาคอุตสาหกรรมจะสามารถผลิตยานยนต์ออกสู่ท้องถนนได้มากถึง 2.5 ล้านคัน อุตสาหกรรมนี้ยังคาดว่าจะสามารถดึงดูดเงินลงทุนได้มากกว่า 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ในอีก 8-10 ปีข้างหน้า และคาดว่าตลาดรถยนต์ไฟฟ้า EV จะเติบโตด้วยอัตราเฉลี่ย 49% ในระหว่างปี 2565-2573 แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มของความต้องการที่เพิ่มขึ้นรถยนต์ประเภทอเนกประสงค์ (UV) และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ขนาดกลางและหนัก (M&HCV)
สินค้า aftermarket หรืออะไหล่ที่ผลิตจากบริษัทอื่นนอกเหนือจากโรงงานผู้ผลิตรถ ในประเทศอินเดียยังมีโอกาสที่จะเติบโตเป็นอย่างมาก โดยคาดว่าในปี 2569 ตลาดดังกล่าวจะสามารถสร้างรายได้ได้สูงถึง 32 พันล้านเหรียญสหรัฐ นับว่าสินค้าและบริการ ในตลาด aftermarket ยังคงเป็นที่ต้องการอย่างมากในอินเดีย เนื่องจากลูกค้ามีความต้องการสินค้าที่มีความจำเพาะกับรถยนต์ของตน และธุรกิจรถยนต์ในแต่ละท้องถิ่นกำลังขยายตัว
ข้อมูลเพิ่มเติม
1. ปัจจุบัน การเจาะตลาดรถยนต์ไฟฟ้าประเภทส่วนบุคคลของอินเดีย กำลังเติบโตไปในทิศทางบวกซึ่งเมื่อปีงบประมาณที่ผ่านมาคิดเป็นสัดส่วนของรถยนต์ไฟฟ้าร้อยละ 8 ของตลาดรถยนต์ในภาพรวม ธนาคาร BNP Paribas คาดว่าตลาดจะสามารถขยายตัวได้ถึง 15% ภายในปี 2030 โดยบริษัท Tata motor/ Mahindra Mahindra ยังคงเป็นผู้นำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในอินเดีย ในขณะที่บริษัท Maruti Suzuki มีแผนที่จะปล่อยรถยนต์ไฟฟ้าโมเดลแรกออกสู่ตลาด ภายในปี 2025 อย่างไรก็ดี ด้วยต้นทุนที่สูงในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเมื่อเปรียบเทียบกับรถยนต์ระบบเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ประกอบกับระบบโครงสร้างพื้นฐานในการประจุพลังงานไฟฟ้าที่มีจำนวนจำกัด ส่งผลให้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเผชิญอุปสรรคในการขยายตัว นอกจากนี้ ราคาของยานยนต์ยังเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับผู้ซื้อในปัจจุบัน อาทิ รถยนต์ Tata Nexon EV มีราคาแพงกว่ารถยนต์ปกติทั่วไปถึง 60% และรถยนต์ Tata Tiago EV มีราคาแพงกว่ารถยนต์ปกติที่ร้อยละ 55
2.รถยนต์ไฟฟ้าที่มีการตั้งกลยุทธ์ด้านราคาที่เหมาะสมจะสามารถตอบสนองความต้องการของตลาดรถยนต์ที่มีความอ่อนไหวด้านราคาได้เป็นอย่างดี ในปีงบประมาณ 2025 จะมีผู้เล่นในตลาดไฟฟ้าอาทิ Tata Motors/ Hyundai/ Maruti Suzuki ครองส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ในขณะที่การเข้าสู่ตลาดของบริษัทยักษ์ใหญ่เทสล่า ด้วยเม็ดเงินลงทุน 2-3 พันล้านเหรียญสหรัฐ จะส่งผลให้ภาคการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในท้องถิ่นเกิดการพัฒนา ตลอดจนเกิดการลดต้นทุน แม้ว่าการแทรกแซงของบริษัทยักษ์ใหญ่จากต่างประเทศจะสร้างความกังวลให้แก่ผู้ผลิตภายในประเทศ แต่บริษัทเทสล่ามองภาพว่า การลงทุนในตลาดยานยนต์ไฟฟ้าจะมีส่วนช่วยภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องสามารถเติบโตควบคู่กันไป อุตสาหกรรมยานยนต์อินเดีย คาดว่าจะเติบโตด้วยอัตราเฉลี่ย 7% ในช่วงระหว่างปี 2566 ถึง 2570 ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าอัตราการเจริญเติบโตที่คาดไว้จากสำนัก S&P ถึง 3% ของอัตราเฉลี่ยรายปีในช่วงเวลาเดียวกัน อย่างไรก็ดี ภายในปี 2027 ตลาดรถยนต์อินเดียจะมีช่วยส่งเสริมการขยายตัวของภาคการผลิตรถยนต์ของตลาดโลกถึงร้อยละ 20
ข้อคิดเห็น
ตลาดอุตสาหกรรมยานยนต์ของอินเดีย เป็นหนึ่งในภาคอุตสาหกรรมสำคัญที่สร้างงาน สร้างรายได้และสร้างการเจริญเติบโตของ GDP ให้กับประเทศ โดยในปี 2023 ภาคอุตสาหกรรมนี้คิดเป็นสัดส่วนของจีดีพีประมาณ 6.4 % และคิดเป็น 35% ของภาคอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมนี้มียอดจำหน่ายรถยนต์ประเภทส่วนบุคคลจำนวน 4,100,258 คัน คิดเป็นปริมาณการซื้อขายรายเดือนเฉลี่ย 341,688 คัน และข้อมูลตลาดซื้อขายรถยนต์ระบุว่า รถประเภท SUV และ Crossover เป็นตัวขับเคลื่อนหลักที่ทำให้ยอดจำหน่ายสูงในปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ รัฐบาลยังตั้งเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ซึ่งอินเดียกําลังเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้พลังงานสะอาด พลังงานไฟฟ้า และพลังงานไฮโดรเจนสีเขียว ภาครัฐสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าอย่างจริงจัง เช่น การอนุญาตให้มีการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ 100% ออกมาตรการจูงใจเพื่อส่งเสริม ธุรกิจที่มีนวัตกรรมทางเทคโนโลยีและสามารถเพิ่มขีดความสามารถได้ในห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ และเร่งขยายโครงสร้างพื้นฐานในการเพิ่มสถานีชาร์จไฟสาธารณะ ทั้งนี้ ผู้ประกอบการและซัพพลายเออร์ไทยในภาคธุรกิจยานยนต์ที่เกี่ยวข้องกับ EV สินค้าที่มีนวัตกรรม และผลิตภัณฑ์ยานยนต์สำหรับตลาดทดแทน สามารถแสวงหาโอกาสในการทำธุรกิจในช่วงที่ตลาดรถยนต์อินเดียมีความต้องการสินค้าจากทั่วทุกมุมโลกได้ รวมทั้งผู้ประกอบการไทยควรพิจารณาขอใช้สิทธิตามความตกลง TIFTA และ AIFTA เพื่อเป็นการลดต้นทุนและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันด้านราคาของสินค้าไทยในตลาดอินเดียให้เพิ่มมากขึ้น
ที่มา:1- https://economictimes.indiatimes.com/industry/auto/auto-news/indian-auto-industry-poised-to-reach-usd-300-billion-by-2026-revving-up-for-innovation-and-
2 – https://www.theweek.in/news/biz-tech/2024/05/22/electric-passenger-vehicle-penetration-in-india-could-reach-15-by-2030.html