ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2024 เป็นต้นมา ยอดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในเยอรมนีจากที่เคยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ก็กลับมาสะดุดอย่างกระทันหัน โดยในเดือนพฤษภาคม 2024 เพียงเดือนเดียว ยอดขายรถ EV ที่จดทะเบียนใหม่ ลดลงจากปีก่อนหน้าถึง 30% (ข้อมูลจาก Federal Motor Transport Authority) โดยช่วงก่อนการเลือกตั้งสภาสหภาพยุโรป (EU) มีเสียงออกมาเรียกร้องให้ยกเลิกการห้ามจดทะเบียนรถที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์สันดาปใหม่เพิ่มมากขึ้น โดยตั้งแต่ปี 2035 เป็นต้นไป EU จะไม่อนุญาตให้จดทะเบียนรถที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์สันดาปที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ใหม่ใน EU นาย Friedrich Merz หัวหน้าพรรค CDU – Christlich Demokratische Union Deutschlands (พรรคสหภาพคริสต์เตียนเพื่อประชาธิปไตยประเทศเยอรมนี) และนาย Markus Söder หัวหน้าพรรค CSU – Christlich-Soziale Union in Bayern (พรรคสหภาพสังคมนิยมคริสต์เตียนแห่งนครรัฐบาวาเลีย) พร้อมกับนาย Volker Wissing รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมรัฐบาลกลางเยอรมันสังกัดพรรคเพื่ออิสรภาพและประชาธิปไตย (FDP – Freie Demokratische Partei) ได้ออกมาเรียกร้องร่วมกันให้ EU เปิดกว้างด้านเทคโนโลยีมากขึ้น และในเยอรมนีเองก็มีการถกเถียงในเรื่อง “การห้ามใช้เครื่องยนต์สันดาป” กันอย่างเผ็ดร้อน แม้ว่าข้อเท็จจริงจะดำเนินไปคนละทิศคนละทางกับเรื่องที่มีการถกเถียงก็ตาม โดยมีข้อสันนิษฐานที่แพร่หลายในสังคมเยอรมนีว่า รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ากำลังอยู่ในช่วงตกต่ำนั้นไม่ถูกต้อง และไม่สอดคล้องกับตัวเลขการจดทะเบียนใน EU จากการวิเคราะห์ของหนังสือพิมพ์ Handelsblatt โดยพบว่า ตลาดรถยนต์ EV ในยุโรปเติบโตเร็วกว่าตลาด EV ในเยอรมนี ทั้งตลาดรถ EV ของเยอรมันแทบจะไม่โตขึ้นเลย  เป็นเพราะปัญหาเฉพาะในเยอรมนี และส่งผลกระทบต่อผู้ผลิต 2 รายเป็นหลัก ได้แก่ Volkswagen และ Tesla เท่านั้น

 

ไตรมาสแรกของปี 2024 ยอดขายรถยนต์ในยุโรปเพิ่มขึ้น 5.6% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีที่ผ่านมา ในช่วงเวลาเดียวกันยอดจดทะเบียนรถยนต์ EV เพิ่มขึ้น 9% หรือเกือบ 365,000 คัน หากไม่รวมตลาดรถยนต์เยอรมัน หากนำตัวเลขการจดทะเบียนในเยอรมนีมาพิจารณาร่วม อัตราการเติบโตของรถ EV ไฟฟ้าจะอยู่ที่เพียง 3.9% เท่านั้น เมื่อดูตัวเลขของแต่ละประเทศแสดงให้เห็นว่า ตลาดเยอรมันเป็นตัวการหลักในการบิดเบือนตัวเลขยอดจำหน่ายรถ EV ในยุโรปอย่างรุนแรง ตัวอย่างเช่น ในฝรั่งเศสตัวเลขการจดทะเบียนรถ EV เพิ่มขึ้นเกือบ 23% หรือคิดเป็นเกือบ 86,000 คัน ในขณะที่ ตลาดรถยนต์โดยรวมเติบโตเพียงประมาณ 6% เท่านั้น สำหรับประเทศสเปน อัตราการเติบโตของรถยนต์ EV อยู่ที่ 35% ในระหว่างที่ตลาดรถยนต์โดยรวมในประเทศขยายตัวขึ้นเพียง 4% ในอังกฤษตลาดรถยนต์ EV เติบโตถึง 11% มีการจดทะเบียนมากกว่า 89,000 คัน ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของตลาดโดยรวมที่เติบโตขึ้นเพียง 10% เท่านั้น ในขณะที่ ตลาดรถยนต์ EV ของเยอรมนี เติบโตขึ้น 4% โดยประมาณ ยอดจำหน่ายรถยนต์ EV ลดลงเหลือ 14% เหลือ 81,000 คันเท่านั้น นาย ผู้ Stefan Bratzel เชี่ยวชาญด้านธุรกิจรถยนต์ผู้อำนวยการของศูนย์ Center of Automotive Management (CAM) สังเกตเห็นถึงการบิดเบี้ยวของทิศทางธุรกิจในเยอรมนีมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว และกล่าวว่า “การถกเถียงเกี่ยวกับการห้ามใช้เครื่องยนต์สันดาป และการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าในเยอรมนี บางครั้งก็เป็นการมองอะไรเพียงมิติเดียว และเป็นเรื่องระดับชาติเท่านั้น คนพูดกันราวกับว่า ตลาดรถยนต์ของเยอรมันจะต้องเป็นตัวชี้แนวทางของตลาดโลก แต่ไม่ใช่เลย สำหรับการพัฒนาตัวเชิงธุรกิจของรถ EV เรายังคงเห็นศักยภาพการเติบโตอย่างมหาศาลนอกเยอรมนี ไม่เพียงแต่เฉพาะในยุโรป แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศจีน”

 

คำอธิบายง่าย ๆ สำหรับเหตุผลว่า ทำไมยอดจำหน่ายในเยอรมนีถึงตกต่ำ เหตุผลหลักก็คือ การยกเลิกนโยบายสนับสนุนการซื้อรถไฟฟ้าคันแรกนั่นเอง ทั้งนี้ ได้ถูกยกเลิกโดยแจ้งให้ทราบล่วงหน้าเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ใน EU เยอรมนีเป็นตลาดซื้อขายรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุด และการพัฒนาดังกล่าวของเยอรมนีจึงมีผลกระทบอย่างมหาศาลต่อ EU เช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามยังมีคำตอบที่ซับซ้อนยิ่งกว่า ว่าผู้ผลิตรถยนต์รายใด ได้รับผลกระทบขนาดไหน และมากน้อยเพียงใด นาย Bratzel กล่าวว่า “ขณะนี้เรากำลังสังเกตว่า ตำแหน่งทางการตลาดของรถยนต์แต่ละยี่ห้อนั้นจะปรับเปลี่ยนไปในทิศทางใด ตัวอย่างเช่น Volkswagen ด้วยโมเดล ID ของบริษัทกำลังสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดให้กับคู่แข่งด้านรถ EV บริษัทอื่น ๆ” ตามข้อมูลของบริษัท Marklines บริษัทวิเคราะห์ตลาด ส่วนแบ่งการตลาดรถ EV ของ Volkswagen Group ในยุโรปลดลงจากเกือบ 21% เหลือ 16% เปอร์เซ็นต์ในไตรมาสแรก ไม่มีผู้ผลิตรายอื่นสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดไปมากขนาดนี้ ในระหว่างที่ส่วนแบ่งการตลาดของบริษัท Tesla ลดลงจาก 22% เป็น 19% ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุด 2 ราย ในยุโรปกำลังสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดให้กับ Stellantis และ Toyota รวมถึงให้กับผู้ผลิตจากจีนด้วย ตัวอย่างเช่น ส่วนแบ่งการตลาดของ BYD เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าเป็น 2.3% บริษัท Geely กับรถยี่ห้อ Volvo และ Zeekr สามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดจาก 5.6% เป็นเกือบ8% การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า ปัญหาดังกล่าวไม่ได้เป็นปัญหาของทั้งตลาด แต่เป็นปัญหาของรถบางยี่ห้อเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นบริษัท Volkswagen สามารถจำหน่ายรถยนต์ EV ได้น้อยมากในยุโรปตั้งแต่ช่วงต้นปีเป็นต้นมา ซึ่งแม้แต่ผู้ผลิตรถยนต์ระดับพรีเมียมของเยอรมันอย่าง BMW และ Mercedes ต่างก็สามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดให้สูงขึ้นได้ในไตรมาสแรก แม้ว่าตลาดรถยนต์ EV ในยุโรปจะยังมีความมั่นคงอยู่ แต่การขยายตัวของธุรกิจรถ EV ในปัจจุบันได้ก่อปัญหากับผู้ผลิตรถยนต์แบบดั้งเดิม เนื่องจากการเติบโตของธุรกิจรถ EV ในยุโรปไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ภายในของตนเอง ตัวอย่างเช่นบริษัท Mercedes ต้องปรับกลยุทธ์ของตนใหม่ นาย Ola Källenius ผู้บริหารของบริษัท Mercedes ผู้ผลิตรถยนต์จากเมือง Stuttgart เดิมทีได้สัญญากับผู้ถือหุ้นของเขาว่า จะทยอยเปลี่ยนรูปแบบการผลิตรถยนต์เป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเต็มตัวภายในปี 2030 แต่รถยนต์ EV หลายรุ่นในปัจจุบันของ Mercedes ขายได้ไม่ตรงตามเป้าหมายที่วางไว้ ดังนั้น Mercedes จำเป็นต้องปรับเป้าหมายใหม่ โดยกำหนดว่า ตั้งแต่ปี 2030 รถที่จดทะเบียนใหม่ของบริษัทจะต้องเป็นรถยนต์ EV และปลั๊กอินไฮบริด (Plug-in-Hybride) คิดเป็น 50% ของการจดทะเบียนของผู้ผลิตรถยนต์ทั้งหมด

 

สำหรับ Volkswagen จากเดิมที่เคยตั้งเป้าด้านรถ EV แบบดุดันไว้ ถึงตอนนี้ก็พบกับความล้มเหลวโดย Volkswagen มีฐานการผลิตอยู่ในเมือง Wolfsburg และพึ่งพาการเติบโตของตลาดรถ EV ที่เข็มแข็งในยุโรป มิฉะนั้นบริษัท Volkswagen ก็มีความเสี่ยงที่จะไม่สามารถปฏิบัติตามข้อจำกัดด้าน CO2 ของ EU ได้ โดยตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไป ค่าการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์โดยเฉลี่ยของจดทะเบียนใหม่ทั้งหมดสำหรับผู้ผลิตรถยนต์อย่าง Volkswagen จะต้องไม่เกินขีดจำกัดที่อยู่ที่ 105 กรัมต่อ 1 กิโลเมตร มิฉะนั้นผู้ผลิตอาจมีความเสี่ยงที่จะถูกปรับอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากรถ EV ซีรีส์ ID ขายได้แย่กว่าที่คาดไว้ จึงทำให้แผนระยะกลางของบริษัท VW ต้องกลับมาพึ่งพารถยนต์แบบปลั๊กอินไฮบริดที่ปล่อยมลพิษต่ำมากขึ้นอีกครั้ง ด้วยเป็นรถรุ่นที่สามารถวิ่งได้ระยะการใกล้ขึ้นจากการชาร์จพลังงานใช้ไฟฟ้าหนึ่งพร้อมกับลดการใช้เชื้อเพลิงจากเครื่องยนต์สันดาปไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งเป็นรถรุ่นที่ถูก Volkswagen ละเลยไปอย่างมาก รถระบบแบบปลั๊กอินไฮบริดเป็นระบบที่ได้รับความนิยมเป็นพิเศษในประเทศจีน สำหรับ Volkswagen ในฐานะผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของยุโรป ได้ยกประเด็นข้อถกเถียงเกี่ยวกับ “การห้ามใช้เครื่องยนต์สันดาป” ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ารำคาญใจมาก โดยนาย Oliver Blume ผู้บริหารหลักบริษัท Volkswagen กล่าวในการประชุมสามัญประจำปีเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า “สิ่งสำคัญในเวลานี้คือ การปรับโครงสร้างการขับเคลื่อนเข้าสู่ระบบไฟฟ้านั้นต้องได้รับการสนับสนุนจากทุกฝ่าย ภาคการเมืองก็จำเป็นต้องมีจุดยืนที่ชัดเจน ไม่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอย่างเช่นปัจจุบัน” แต่นักการเมืองก็ไม่หยุดทำให้การอภิปรายมีอารมณ์เมามันมากขึ้นแต่อย่างใด ในทางกลับกันจากการสำรวจล่าสุดบนหน้าเว็บของพรรค CDU ที่ต้องการทราบว่า ประชาชนสนับสนุนหรือต่อต้าน “การห้ามใช้เครื่องยนต์สันดาป” ผลลัพธ์ก็ชัดเจน กว่า 80% เปอร์เซ็นต์โหวตให้ยกเลิกนโยบายดังกล่าวเสีย แต่หลังจากนั้น CDU ก็รีบลบแบบสำรวจออกจากหน้าเว็บของพรรคอย่างเร่งด่วน และอ้างว่า มีการโกงการโหวตผ่านความช่วยเหลือของอินเทอร์เน็ตบอต (Internet bot) แต่จนถึงวันนี้ CDU ก็ยังไม่ได้แสดงหลักฐานใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้

 

จาก Handelsblatt 1 กรกฎาคม 2567

zh_CNChinese